คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้ตายโดยการชกต่อย ส่วนจำเลยที่ 3 ทำร้ายผู้ตายโดยใช้ไม้ตี ซึ่งล้วนแต่มิได้ก่อให้เกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึงขนาดจะเป็นเหตุแห่งความตายได้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1เข้ามาทำร้ายผู้ตายด้วยการเตะหาได้ใช้มีดที่พกติดตัวมาแทงทำร้ายผู้ตายทันทีไม่ แสดงชัดว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยเจตนาเพียงร่วมทำร้ายผู้ตายก่อน หลังจากนั้นเกิดการโต้ตอบเป็นเชิงต่อว่าระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 จึงชักมีดออกมาแทงผู้ตาย เป็นเจตนาเกิดขึ้นภายหลัง ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ทราบถึงการมีอาวุธมีดติดตัวตั้งแต่ก่อนหรือแรกเกิดเหตุไม่มีเหตุที่จะคาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 อาจฆ่าผู้ตายได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาเพียงร่วมในการทำร้ายผู้ตายต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 2 คน ได้ร่วมกันกระทำผิดขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 33, 83, 91พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบมีดปลายแหลมของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 371 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ขณะกระทำผิดมีอายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 52(2)ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 25 ปี ฐานพกพาอาวุธ ปรับ 50 บาท จำเลยที่ 2และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุกคนละ2 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี 6 เดือนและปรับ 25 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี มีดปลายแหลมของกลางให้ริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ให้จำคุกคนละ 20 ปีจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลลดโทษให้จำเลยที่ 3 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 2ได้ทำร้ายผู้ตายโดยการชกต่อย ส่วนจำเลยที่ 3 ทำร้ายผู้ตายโดยใช้ไม้ตี ซึ่งล้วนแต่มิได้ก่อให้เกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึงขนาดจะเป็นเหตุแห่งความตายได้ ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลอันเกิดจากการใช้มีดเป็นอาวุธแทงทำร้ายซึ่งกระทำโดยจำเลยที่ 1คนเดียว และจากคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายรามา วีครีฟ เฟิลส์ผู้เป็นเพื่อนและยืนรอรถโดยสารประจำทางอยู่กับผู้ตายตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุว่า หลังจากที่จำเลยที่ 3 ใช้ไม้ตีผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้เข้ามาทำร้ายผู้ตาย แต่ก็ด้วยการเตะหาได้ใช้มีดที่พกติดตัวมานั้นแทงทำร้ายผู้ตายทันทีเลยไม่ แสดงชัดว่าจำเลยที่ 1กระทำการโดยเจตนาเพียงร่วมทำร้ายผู้ตายก่อน หลังจากนั้นได้เกิดการโต้ตอบเป็นเชิงต่อว่าระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1จึงได้ชักมีดออกมาแทงผู้ตาย ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าเจตนาในการฆ่าผู้ตายโดยการใช้มีดแทงนี้เป็นเจตนาเกิดขึ้นภายหลังจากการพูดจาโต้ตอบดังกล่าวเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 และพยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใด ๆ ที่จะส่อแสดงว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ทราบถึงการมีอาวุธมีดติดตัวตั้งแต่ก่อนหรือแรกเกิดเหตุ ไม่มีเหตุที่จะคาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 อาจฆ่าผู้ตายได้ จึงไม่อาจรับฟังเป็นโทษแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าได้มีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยการแบ่งหน้าที่กันทำดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คดีต้องรับฟังเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่ามีเจตนาเพียงร่วมในการทำร้ายผู้ตาย ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก, 83 ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3ในการกระทำผิดตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ฎีกาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ให้จำคุกคนละ 3 ปีลดโทษให้จำเลยที่ 3 กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 เหลือจำคุกจำเลยที่ 3กำหนด 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share