แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยศาลยังมิได้พิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีตามที่ผู้ร้องได้ฟ้องแย้งทรัพย์สินดังกล่าวยังเป็นของจำเลยอยู่ การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยจึงหาได้โต้แย้งสิทธิของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขัดทรัพย์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 288.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ 283,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 275,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหลายรายการ เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2532 โจทก์และผู้ร้องทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล โดยโจทก์ยอมให้ผู้ร้องชำระหนี้แทนจำเลย 141,975 บาท ผ่อนชำระเป็นรายเดือน หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมระงับไปด้วยแปลงหนี้ใหม่และถือว่าโจทก์สละสิทธิบังคับทรัพย์สินของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำทรัพย์สินที่ยึด 8 รายการตามเอกสารหมาย 3 ท้ายคำร้องออกขายทอดตลาดผู้ร้องถูกจำเลยฟ้องขับไล่ที่ศาลชั้นต้น และผู้ร้องฟ้องแย้งว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหากศาลพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี โจทก์ไม่อาจนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเพราะทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึด
โจทก์ให้การว่า โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมกับนายสมชายเลี้ยงศิริประเสริฐ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของผู้ร้องโดยมิได้เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เพราะหากผิดนัดไม่ชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่งให้โจทก์นำทรัพย์สินที่ยึดออกขายทอดตลาดได้ทันทีโดยถือว่าผู้ร้องไม่ติดใจร้องขัดทรัพย์อีกต่อไป และนายสมชายสมัครใจชำระหนี้เพียง 141,975 บาท แต่โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา283,950 บาท ทรัพย์สินที่ยึดเป็นของจำเลย ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ เพราะร้องโดยมีเงื่อนไขว่าหากผู้ร้องชนะคดีทรัพย์สินที่ยึดจะเป็นของผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและพยานโจทก์แล้วพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายสมชาย เลี้ยงศิริประเสริฐ กรรมการผู้จัดการของผู้ร้องในคดีที่นายสมชายเป็นผู้ร้องขัดทรัพย์ มาภายหลังผู้ร้องจึงร้องขัดทรัพย์เป็นคดีนี้ ปัญหาที่ผู้ร้องฎีกาว่านายสมชายทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ในฐานะเป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของผู้ร้องนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกานี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องได้ฟ้องแย้งจำเลยในคดีที่ผู้ร้องถูกจำเลยฟ้องขับไล่ หากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีแล้วทรัพย์สินของจำเลยก็เป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ผู้ร้องมีอำนาจร้องขัดทรัพย์นั้น เห็นว่าขณะที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยศาลยังมิได้พิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีตามที่ผู้ร้องได้ฟ้องแย้ง ทรัพย์สินดังกล่าวยังคงเป็นของจำเลยอยู่ ฉะนั้นการที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยจึงหาได้โต้แย้งสิทธิของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องนั้นชอบแล้วฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.