คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 นั้นต้องเป็นการรับสภาพหนี้ภายในกำหนดอายุความ
การที่จำเลยเพียงแต่มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เท่าใดและขอให้โจทก์ช่วยจัดการให้ ป.ชำระหนี้ที่ค้างให้แก่จำเลย แล้วจำเลยจะชำระหนี้ส่วนที่เหลือให้โจทก์ โดยโจทก์ก็มิได้กระทำการอย่างใดอันเป็นการสนองรับข้อเสนอของจำเลยดังกล่าวหาใช่เป็นเรื่องการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 188 วรรคท้ายไม่ (อ้างฎีกาที่ 756/2510)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดจำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๒ ในนามกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ได้ซื้อสินค้าและค้างชำระค่าสินค้าโจทก์หลายคราวด้วยกันรวมเป็นเงินที่ค้างชำระ ๓๒,๙๗๕ บาท ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๔ จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์อยู่ ๓๑,๙๗๕ บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามที่จำเลยรับสภาพหนี้ จำเลยก็ผัดผ่อนเรื่อยมา ขอศาลพิพากษาบังคับจำเลยให้ชำระเงิน ๓๑,๙๗๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า หนี้หรือสิทธิเรียกร้องของโจทก์มิได้ทำเพื่ออุตสาหกรรมของฝ่ายจำเลย และหนี้หรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้เกิดขึ้นเลยกำหนด ๒ ปีมาแล้ว คดีจึงขาดอายุความ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นหลังจากหนี้หรือสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว เอกสารดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ เป็นแต่เพียงเอกสารที่แสดงเจตนาฝ่ายเดียวไม่มีลักษณะเป็นสัญญา ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายหากจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ก็รับผิดเพียง ๕,๓๐๐ บาท คือหลังจากหักกลบลบหนี้ของนายปอล กีฮี ซึ่งเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของโจทก์ตามเอกสารหมายเลข ๒ ท้ายฟ้องเรียบร้อยแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์อยู่ ๓๑,๙๗๕ บาทจริง คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญา แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ หนังสือรับสภาพหนี้นั้นจำเลยหรือลูกหนี้ฝ่ายเดียวลงชื่อรับว่าเป็นหนี้ก็ใช้ได้ เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่สมบูรณ์ แม้อายุความที่โจทก์จะฟ้องเรียกให้จำเลยชำระราคาสินค้าได้ขาดไปแล้วจริง แต่การทำหนังสือรับสภาพหนี้จะทำภายหลังที่อายุความฟ้องร้องเดิมขาดลงแล้วก็ได้ เมื่อทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้วอายุความฟ้องร้องจะเกิดขึ้นไม่เท่าระยะเวลาอันเป็นอายุความของหนี้เดิม คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ ๒ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๑,๙๗๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์อ้างไม่มีผลให้อายุความสดุดหยุดลง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หนี้รายนี้เป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโดยให้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ได้ด้วย พิพากษากลับเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ ต้องเป็นการรับสภาพหนี้ภายในกำหนดอายุความ คือ ระหว่างระยะเวลาที่อายุความกำลังเดินอยู่ ถ้าเป็นระยะเวลาที่พ้นกำหนดอายุความแล้วก็ไม่มีอะไรจะสดุดหยุดลงอีก ดังนี้ คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ซึ่งประเด็นเรื่องอายุความนี้จำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ เทียบตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๕๖/๒๕๑๐ ระหว่างนายสิงห์โต นาคสุวรรณ โจทก์ สิบตำรวจโทจำเนียร งามขำ ที่ ๑ นายไพบูลย์ มณีปันตี ที่ ๒ จำเลย อนึ่ง กรณีนี้ก็หาใช่เป็นการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๘๘ วรรคท้าย ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ เพราะจำเลยเพียงแต่มีหนังสือเอกสารหมาย จ.๕ แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เท่าใด และจะขอให้โจทก์ช่วยจัดการให้นายปอล กีฮี ชำระหนี้ให้จำเลยแล้วจำเลยจะชำระหนี้ส่วนที่เหลือให้โจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ก็มิได้กระทำการอย่างใดอันเป็นการสนองรับ คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างถึงหาตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในขั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share