แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คู่ความตกลงท้ากันให้สืบท. พยานคนกลางต่อหน้าศาลด้วยความสมัครใจคำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทอื่นโดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติถ้าจะให้คู่ความแต่ละฝ่ายมีสิทธิถอนคำท้าซึ่งตนเองได้ตกลงไว้โดยชอบด้วยกฎหมายเพียงเพราะเกรงว่าพยานคนกลางจะเบิกความเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นโดยไม่มีเหตุผลอื่นตามกฎหมายที่จะอ้างได้ย่อมเป็นการไม่ชอบเพราะมิฉะนั้นคำท้าที่ตกลงกันต่อหน้าศาลก็จะไม่เกิดประโยชน์จำเลยจึงไม่มีสิทธิถอนคำท้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยไม่ยอมรื้อถอนโรงเรียนออกไป โจทก์บอกกล่าวแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินดังกล่าวในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนโรงเรือน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจำนวนครึ่งหนึ่ง พร้อมบ้านเรือนไม้สองชั้นบนที่ดินพิพาทจากนายเทียวซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกับนายหั้ว เลี่ยนเห่า บิดาโจทก์และจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ปลูกต้นผลอาสินและพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยโจทก์ไม่เคยคัดค้าน การที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 439จำนวนครึ่งหนึ่งพร้อมบ้านเป็นของจำเลยห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ ขาดนัด ยื่นคำให้การ แก้ฟ้อง แย้ง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงร่วมกันว่า คู่ความต่างระบุนายเทียว เลี่ยนเห่า เป็นพยานและยอมสละประเด็นข้อพิพาททุกข้อโดยท้ากันว่า ถ้านายเทียวยอมสาบานและปฎิญาณตนต่อหน้าพระอุโบสถวัดชะแล้ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา แล้วเบิกความต่อหน้าองค์คณะผู้พิพากษาว่า นายเทียวขายที่ดินพิพาทพร้อมบ้านบนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย โจทก์ยอมแพ้คดี แต่ถ้าหากนายเทียวเบิกความว่า ขายเฉพาะบ้านบนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยยอมแพ้คดี
เมื่อโจทก์จำเลยท้ากันดังกล่าวข้างต้นแล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยทราบว่า นายเทียวมีพฤติการณ์ไม่เป็นพยานร่วมที่เป็นกลางหรืออยู่แก่ร่องรอย จึงขอถอนคำท้าขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาตามรูปคดีศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสืบนายเทียว ตามคำท้าของโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่านายเทียวได้สาบานและปฎิญาณตนต่อหน้าพระอุโบสถวัดชะแล้อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา แล้วเบิกความต่อหน้าองค์คณะผู้พิพากษาว่า ได้ขายเฉพาะบ้านบนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยถือได้ว่าคำเบิกความของนายเทียวสมประโยชน์แก่โจทก์จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้ตามคำท้า พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 439 ตำบลชะแล้อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา และห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 มกราคม2538) เป็นต้นไป จนกว่าจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทส่วนฟ้องแย้งให้ยกฟ้อง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในชั้นนี้คงมีปัญหาในข้อกฎหมายเพียงว่าเมื่อคู่ความตกลงท้ากันสืบพยานร่วมแล้วฝ่ายหนึ่งขอถอนคำท้า ขอดำเนินกระบวนพิจารณาไปได้หรือไม่เห็นว่า คู่ความตกลงสืบนายเทียวพยานคนกลางต่อหน้าศาลด้วยความสมัครใจ ซึ่งศาลก็เห็นชอบด้วยคำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทอื่นโดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติ ถ้าจะให้คู่ความแต่ละฝ่ายมีสิทธิถอนคำท้าซึ่งตนเองได้ตกลงไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยเหตุผลเพียงแต่เกรงว่า พยานคนกลางจะเบิกความเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น โดยไม่มีเหตุผลอื่นตามกฎหมายที่จะอ้างได้ย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะมิฉะนั้นคำท้าที่ตกลงกันต่อหน้าศาลก็จะไม่เกิดประโยชน์ เมื่อไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยจะอ้างได้แล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิถอนคำท้า สำหรับฎีกาของจำเลยเรื่องค่าเสียหายนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน