แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ข้อตกลงในสัญญาจะซื้อขายนาว่า ถ้าจำเลยผู้ซื้อชำระราคาไม่ครบโจทก์เรียกนาและคืนเงินได้ ฉะนั้นเมื่อจำเลยชำระราคาไม่ครบ โจทก์ขอคืนเงินที่จำเลยชำระแล้ว และเรียกคืนที่ดิน ถือได้ว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาเลิกสัญญาโดยปริยายแล้ว
สัญญาทำเป็นหนังสือ การแสดงเจตนาเลิกสัญญาไม่ต้องทำเป็นหนังสือ
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอน น.ส.3และส่งมอบนาแก่โจทก์ และรับเงิน 8,000 บาทจากโจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่จำเลยฎีกาในประการแรกว่าโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายนั้น โจทก์นำสืบว่า เดิมนาพิพาทและที่ดินพิพาทพร้อมด้วยเรือนที่ปลูกบนที่ดินเป็นของโจทก์ ซึ่งได้มาโดยนางทุมมา แสนกองแม่ยายโจทก์ยกให้เมื่อประมาณ 15 ปีมาแล้ว ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2515โจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมด้วยเรือนและที่นาดังกล่าวให้แก่จำเลยเป็นเงิน 23,000 บาท โดยมีข้อตกลงกันว่า ถ้าจำเลยชำระเงินไม่ครบ และโจทก์ประสงค์จะเอาที่ดินพร้อมด้วยเรือนและที่นาคืน ต่างจะคืนที่ดินพร้อมด้วยเรือนกับที่นาและคืนเงินต่อกัน หลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายและจำเลยชำระราคาแล้ว 8,000 บาท คงค้างอีก 15,000 บาท โจทก์อพยพครอบครัวกลับมาบ้านเดิม ขอไถ่ที่ดินพร้อมด้วยเรือนและที่นาคืน จำเลยไม่ยอมให้ไถ่อ้างว่านำนาพิพาทไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นของจำเลยแล้วโจทก์จึงขอเงินที่ค้างชำระอีก 15,000 บาท จำเลยไม่ยอมชำระให้ อ้างว่าที่ดินพร้อมด้วยเรือนและที่นาเป็นของจำเลย นางทุมมา แสนกอง ซึ่งเป็นมารดาจำเลยกับคนอื่น ๆ ช่วยเจรจาถึง 3 ครั้งเพื่อให้จำเลยยอมคืน จำเลยไม่ยอมคืนให้ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ การที่โจทก์ขอคืนเงินจำนวนที่ได้รับชำระหนี้แล้ว 8,000 บาทให้แก่จำเลย และขอให้จำเลยคืนที่ดินพร้อมด้วยเรือนและที่นาให้แก่โจทก์ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาเลิกสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยแล้วโดยปริยาย
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายว่าสัญญาจะซื้อจะขายได้ทำเป็นหนังสือ การบอกเลิกสัญญาก็ต้องทำเป็นหนังสือ แต่โจทก์บอกเลิกสัญญาโดยหาได้ทำเป็นหนังสือไม่ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์ จึงไม่มีผลตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้สัญญาจะซื้อจะขายได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่การบอกเลิกสัญญานั้นหาได้มีกฎหมายบัญญัติให้ทำเป็นหนังสือไม่ การที่โจทก์แสดงเจตนาแก่จำเลยดังกล่าวจึงสมบูรณ์”
พิพากษายืน