คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6355/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิจารณาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 เมื่อในคดีอาญาศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วม แม้โจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์เรื่องค่าสินไหมทดแทน ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลคดีอาญาได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง
จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจและใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้ดำเนินการจดทะเบียนขายฝากที่ดินของโจทก์ร่วมให้ ก. จนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์ร่วมมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ซึ่งได้แก่การคืนทรัพย์สินอันโจทก์ร่วมต้องเสียไปจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองอันเป็นการกระทำละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์ รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 268
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นายสมคิด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 (ที่ถูก มาตรา 264 วรรคสอง มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคสอง) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จึงลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสาม (ที่ถูก ร่วมกันใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคสอง แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง) จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน กับให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 200,000 บาท แก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียม (ที่ถูก ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่ง) ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี และปรับคนละ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสองไว้โดยให้จำเลยทั้งสองไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ตามที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด ภายในระยะเวลา 1 ปี และให้จำเลยทั้งสองกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยทั้งสองเห็นสมควรมีกำหนด 20 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกคำขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ร่วมว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 หยิบยกคำร้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมขึ้นพิจารณาชอบหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิจารณาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อในคดีอาญาศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วม แม้โจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์เรื่องค่าสินไหมทดแทน ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลคดีอาญาได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญารับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจและใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้ดำเนินการจดทะเบียนขายฝากที่ดินของโจทก์ร่วมให้นายเกื้อกูล จนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์ร่วมมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ซึ่งได้แก่การคืนทรัพย์สินอันโจทก์ร่วมต้องเสียไปจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองอันเป็นการกระทำละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์ รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นว่า โจทก์ร่วมคงมีสิทธิเรียกคืนได้แต่โฉนดที่ดินเท่านั้น จะขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 700,000 บาท เท่ากับราคาที่ดินหาได้ไม่ เพราะไม่อาจกล่าวได้ว่าโจทก์ร่วมได้สูญเสียทรัพย์สินที่มีราคาเท่ากับมูลค่าของที่ดิน แม้โฉนดที่ดินสูญเสียไปก็ยังฟ้องเรียกร้องที่ดินกันได้ มิใช่ว่าที่ดินจะสูญไปด้วย ที่ดินยังคงอยู่ โจทก์ร่วมชอบที่จะไปฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกทรัพย์คืนได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมในประเด็นนี้ฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ร่วมเรียกค่าเสียหายมานั้น เห็นว่า การที่โจทก์ร่วมลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจมอบให้แก่จำเลยที่ 1 พร้อมโฉนดที่ดินเพื่อเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองร่วมกันกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจซึ่งมีลายมือชื่อโจทก์ร่วมและนำไปดำเนินการจดทะเบียนขายฝากที่ดินของโจทก์ร่วมให้แก่ผู้อื่นเป็นเงิน 200,000 บาท แม้นับว่าโจทก์ร่วมมีส่วนเลินเล่ออยู่บ้าง แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมจำนวน 200,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานหนักและไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ร่วมมอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อเป็นหลักประกันเงินกู้ แต่จำเลยทั้งสองกลับกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจซึ่งมีลายมือชื่อของโจทก์ร่วมแล้วนำโฉนดที่ดินดังกล่าวดำเนินการจดทะเบียนขายฝากให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สิน เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายมุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่ผู้อื่นพึงได้รับ แม้จำเลยทั้งสองจะเป็นหญิงและไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนก็ตาม แต่เพื่อให้จำเลยทั้งสองเข็ดหลาบและมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นที่คิดจะกระทำการเช่นจำเลยทั้งสอง สมควรลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองโดยไม่รอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ใช้ดุลพินิจรอการลงโทษให้แก่จำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อย่างไรก็ดี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี ก่อนลดโทษนั้นนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองโดยไม่รอการลงโทษ ไม่ลงโทษปรับและไม่คุมความประพฤติ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2557 อันเป็นวันกระทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share