แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามกับ ย. ทำทีขอซื้อผ้าจากโจทก์ร่วม โดยหลอกให้โจทก์ร่วมขนผ้าขึ้นรถแล้วบอกว่าจะชำระค่าผ้าก่อน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือให้ตามไปเก็บจาก ย. เมื่อบุตรสาวของโจทก์ร่วมร้องไห้ภริยาของโจทก์ร่วมเข้าไปดูแลบุตรสาวภายในร้าน จำเลยทั้งสามกับ ย. ก็พากันนำรถบรรทุกผ้าออกไปจากร้านทันที จำเลยทั้งสามกับย. มีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าจะซื้อผ้ามาแต่ต้นด้วยการวางแผนการเป็นขั้นตอนและไม่มีเจตนาจะใช้ราคาผ้าเลย จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83 มิใช่ลักทรัพย์ดังที่โจทก์ฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยทั้งสามมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษฐานฉ้อโกงตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามมาตรา 192 วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2540 เวลากลางวันจำเลยทั้งสามกับพวกที่ยังหลบหนีร่วมกันลักเอาผ้าสปันสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวน 84 ม้วน ราคารวม 119,430บาท ของนายประเสริฐ ศักดิราชไพจิตร ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยใช้รถยนต์ปิกอัพ เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการกระทำผิด พาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 83 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 118,430 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายประเสริฐ ศักดิราชไพจิตร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก, 83 ให้จำคุกคนละ 4 ปี คำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 2 ปี 8 เดือน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ราคาทรัพย์รวม118,430 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสามและนางยุพา ไชยสวัสดิ์ ได้มาที่ร้านขายผ้าของโจทก์ร่วมพูดขอซื้อผ้าและขนผ้าของโจทก์ร่วมขึ้นรถยนต์ปิกอัพไปจำนวน 84 ม้วนราคารวม 119,430 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมและนางพรสุดาศักดิราชไพจิตร ภริยาของโจทก์ร่วมเบิกความว่า นางยุพามาที่ร้านของโจทก์ร่วมพร้อมกับจำเลยทั้งสาม โดยนางยุพาบอกว่าได้รับคำแนะนำจากนางสายสวาทจะซื้อผ้าไปตัดเสื้อผ้าขาย นางยุพาเป็นผู้ลงทุน จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นฝ่ายขายและฝ่ายการผลิต จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับนางยุพาเลือกผ้าได้ 84 ม้วน จำเลยที่ 3 จึงได้ไปถอยรถยนต์ปิกอัพเข้ามาในร้าน และช่วยกันขนผ้าขึ้นรถ โดยขณะนั้นนางพรสุดาได้ตรวจเช็กผ้าส่วนโจทก์ร่วมขึ้นไปชั้นบนของบ้าน ในการซื้อขายผ้าจำเลยทั้งสามบอกว่าจะชำระค่าผ้าก่อน20,000 บาท ส่วนที่เหลือให้ไปเก็บจากนางยุพา ขณะขนผ้าขึ้นรถนางพรสุดากำลังเขียนใบส่งของชั่วคราวว่าจำเลยทั้งสามจะจ่ายเงินให้ 20,000 บาท และได้ส่งใบส่งของชั่วคราว และเครื่องคิดเลขให้นางยุพาตรวจสอบ ปรากฏว่าขณะนั้นบุตรสาวของโจทก์ร่วมร้องไห้ นางพรสุดาจึงเข้าไปดูแลบุตรประมาณ 5 นาที ก็มีเพื่อนบ้านมาบอกว่าคนที่มาซื้อผ้าขับรถออกไปแล้ว เห็นว่า โจทก์ร่วมและนางพรสุดาเบิกความได้สอดคล้องต้องกันและมีเหตุผลเชื่อมโยงกัน พยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวไม่รู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสามมาก่อน จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เหตุที่จำเลยทั้งสามกับนางยุพามาซื้อผ้าจากโจทก์ร่วมนั้นน่าจะเป็นการใช้อุบายซึ่งเกิดจากการวางแผนการกันมาก่อน เพราะปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามและนางยุพารู้จักกันมาก่อนจำเลยที่ 3 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสามอยู่หมู่บ้านเดียวกัน จำเลยทั้งสามมาด้วยกัน โดยอ้างว่านางยุพาชวนจำเลยที่ 1 มาซื้อผ้าตัดเสื้อที่จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยที่ 1 พานางยุพาไปเช่ารถยนต์จากจำเลยที่ 2 แต่รถยนต์ของจำเลยที่ 2 เสีย จำเลยที่ 2จึงแนะนำให้ไปเช่ารถยนต์ของจำเลยที่ 3 ในราคา 700 บาท จำเลยที่ 3 จึงติดต่อขอเช่ารถยนต์จากนายประพันธ์ กันขัด นายประพันธ์ตกลงให้เช่า จึงให้จำเลยที่ 3 ขับรถมา จำเลยที่ 2 มาด้วยเพราะจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์ในเมืองไม่ถนัด จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์มาตามถนนหลวงจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ จำเลยที่ 2 จึงขับรถยนต์ไปบ้านของโจทก์ร่วม เห็นว่า จำเลยทั้งสามเบิกความถึงเรื่องการติดต่อเช่ารถยนต์เป็นพิรุธ จำเลยที่ 1 เบิกความว่านางยุพาติดต่อขอเช่ารถยนต์จากจำเลยที่ 3 ในราคา 700 บาท แล้วจำเลยที่ 3 จึงติดต่อนายประพันธ์ จำเลยที่ 2 เบิกความว่า นางยุพามาติดต่อขอเช่ารถยนต์จากจำเลยที่ 2 ในราคา 700 บาท จำเลยที่ 2 จึงไปติดต่อจำเลยที่ 3 ให้ไปสอบถามนายประพันธ์จำเลยที่ 3จึงไปติดต่อเช่ารถยนต์จากนายประพันธ์ ส่วนจำเลยที่ 3 เบิกความว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนางยุพามาพบจำเลยที่ 3 ให้ไปติดต่อขอเช่ารถยนต์จากนายประพันธ์ในราคา 700 บาท ส่วนนายประพันธ์พยานจำเลยทั้งสามเบิกความว่าจำเลยที่ 3 มาขอเช่ารถยนต์เป็นเงิน 500 บาท ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีการเช่ารถยนต์กันจริง รถยนต์คันดังกล่าวนายประพันธ์ก็มิได้เป็นผู้ขับกลับปล่อยให้จำเลยที่ 3 ขับมา และเหตุใดจำเลยที่ 2 จึงมิได้ขับรถมาแต่แรก ทั้ง ๆ ที่ขับรถเก่งกว่าจำเลยที่ 3 จึงล้วนแต่เป็นข้อพิรุธทั้งสิ้น ประกอบกับในขณะที่เจรจาตกลงซื้อขายผ้า ขนผ้าขึ้นรถ จำเลยทั้งสามก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลานางยุพาบอกว่านางยุพาเป็นผู้ลงทุน จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นฝ่ายขายและฝ่ายการผลิตทำนองเป็นหุ้นส่วนกัน ซึ่งในข้อนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าไม่เป็นความจริง แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้นำสืบปฏิเสธจำเลยทั้งสามมากับนางยุพาซึ่งอ้างว่ามาซื้อผ้า แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้เจรจาตกลงซื้อผ้ากับโจทก์ร่วมเป็นกิจจะลักษณะแต่ต้น จำเลยทั้งสามอ้างว่านางยุพาขอซื้อผ้าเป็นเงินเชื่อโดยโจทก์ร่วมขอให้นางยุพาชำระค่าผ้าเป็นเงินสดแต่นางยุพาขอต่อรองชำระราคาครึ่งหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือจะชำระภายใน 1 เดือน เนื่องจากราคาผ้าประมาณ 100,000 บาท แต่นางยุพามีเงินสดเพียง 20,000 บาท ส่วนที่เหลือ 30,000 บาท จะชำระในวันที่ 8 เดือนเดียวกัน ภริยาของโจทก์ร่วมจึงเขียนลงในใบส่งของชั่วคราวว่าได้ชำระเงินจำนวน 20,000 บาท ส่วนอีก 30,000 บาท ภริยาของโจทก์ร่วมจะให้โอนเข้าบัญชีเงินฝากโดยแจ้งหมายเลขบัญชีเงินฝากไว้ตามใบส่งของชั่วคราวเอกสารหมาย ล.1 ส่วนจำเลยที่ 2 เบิกความว่า เมื่อถึงร้านของโจทก์ร่วม นางยุพาบอกขอซื้อด้วยเงินเชื่อ โจทก์ร่วมตกลง เมื่อขนผ้าขึ้นรถแล้วนางยุพาแจ้งว่าจะชำระเงินบางส่วนจำนวน 20,000 บาท ที่เหลือจะโอนเงินเข้าบัญชีให้นั้น เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสามไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เพราะนางยุพากับโจทก์ร่วมไม่เคยรู้จักหรือติดต่อค้าขายผ้ากันมาก่อนเลย ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมจะให้นางยุพาซื้อผ้ารวมราคาจำนวน119,430 บาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากด้วยเงินเชื่อ โดยการชำระราคาเพียง 20,000 บาท ที่เหลืออีก 99,430 บาท ยอมให้ผ่อนชำระอันเป็นเรื่องผิดปกติของการค้าขายทั่วไป ทั้งโจทก์ร่วมก็เบิกความยืนยันว่า การค้าขายผ้าจะขายเป็นเงินสด หรือให้ชำระเป็นเช็ค ไม่มีการให้เครดิตซึ่งถ้าโจทก์ร่วมรู้มาก่อนว่านางยุพาจะชำระเงินให้ 20,000 บาท โจทก์ร่วมก็คงไม่ยินยอมแน่นอน โจทก์ร่วมและนางพรสุดาภริยาของโจทก์ร่วมเบิกความถึงเหตุที่เขียนว่าจ่ายเงินสด 20,000 บาท และชื่อภริยาของโจทก์ร่วมตลอดจนเลขบัญชีของภริยาโจทก์ร่วมในเอกสารหมาย ล.1 นั้นว่าเพราะนางยุพาบอกว่าจะจ่ายเงินสดให้ก่อน20,000 บาท เมื่อนำผ้าขึ้นรถยนต์เสร็จแล้ว และเหตุที่ระบุเลขบัญชีของภริยาโจทก์ร่วมด้านหลังเอกสารหมาย ล.1 ก็เนื่องจากนางยุพาบอกว่าในการซื้อขายผ้าคราวต่อไป จะโอนเงินเข้าบัญชีของภริยาโจทก์ร่วมก่อนแล้วจะให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 มาเลือกผ้าที่ร้านซึ่งมีเหตุผลให้รับฟังได้ การที่จำเลยทั้งสามกับนางยุพานำรถบรรทุกผ้าออกไปทั้งที่ยังมิได้ชำระเงินค่าผ้าและได้นำผ้าไปขายแก่นางสายสวาททันทีที่จังหวัดลำพูนโดยนางสายสวาทพยานจำเลยทั้งสามเบิกความว่านางยุพานำผ้ามาขาย ขอกำไรแค่หลาละ 1 บาท และได้แสดงเอกสารหมาย ล.1 ให้ดู พยานปากนี้เบิกความทำนองว่า ก่อนนางยุพานำผ้ามาขาย ไม่เคยมีการติดต่อกันมาก่อน แต่กลับปรากฏจากคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.3 ว่า จำเลยทั้งสามกับพวกนำผ้าดังกล่าวไปขายให้นางสายสวาทในราคาเพียง 60,000 บาท ทำให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามกับนางยุพาได้ขายผ้าในราคาถูกมากอย่างรีบร้อนอันเป็นพิรุธ และนางยุพามิได้ซื้อผ้าเพื่อมาตัดเสื้อดังคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่ว่าวันเกิดเหตุนางยุพาชวนจำเลยที่ 1 ไปซื้อผ้าเพราะนางยุพารู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้ามีความรู้เกี่ยวกับผ้าและสี นอกจากนี้หากโจทก์ร่วมขายผ้าเป็นเงินเชื่อก็ไม่มีเหตุอันใดที่โจทก์ร่วมจะไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสาม ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพ และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.3 และภาพถ่ายหมาย จ.5 ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า เหตุที่ให้การรับสารภาพเพราะถูกผู้เสียหายเกลี้ยกล่อม และจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การโดยไม่ได้อ่านข้อความไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ทั้งร้อยตำรวจโทวีรยุทธ สายจิตธรรม พนักงานสอบสวนก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1มาก่อน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนก็บันทึกไว้เช่นนั้น จึงบ่งบอกได้ว่าพนักงานสอบสวนกระทำการตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสามกับนางยุพามาด้วยกัน ขณะที่นางยุพาติดต่อขอซื้อผ้าจากโจทก์ร่วมจำเลยทั้งสามก็อยู่ด้วย และช่วยกันขนผ้าขึ้นรถ การที่จำเลยที่ 3 ขับรถบรรทุกผ้าออกไปและเอาผ้าไปขายด้วยกันเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นตัวการร่วมกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แต่การที่จำเลยทั้งสามกับนางยุพาใช้อุบายทำทีไปติดต่อขอซื้อผ้าจากโจทก์ร่วมทั้งที่จำเลยทั้งสามและนางยุพามิได้เตรียมเงินมาให้พร้อมจำเลยทั้งสามกับนางยุพาหลอกให้โจทก์ร่วมขนผ้าขึ้นรถที่เตรียมมาแล้วจึงบอกว่าจะชำระค่าผ้าก่อน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือให้ตามไปเก็บจากนางยุพา แต่บุตรสาวของโจทก์ร่วมร้องไห้ ภริยาของโจทก์ร่วมเข้าไปดูแลบุตรสาวภายในร้าน จำเลยทั้งสามกับนางยุพาก็พากันนำรถบรรทุกผ้าออกไปจากร้านของโจทก์ร่วมทันที โดยยังมิได้ชำระเงินค่าผ้าให้แก่โจทก์ร่วม ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามกับนางยุพาร่วมกันมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าจำเลยทั้งสามกับนางยุพาจะซื้อผ้าจริงมาแต่ต้น ด้วยการวางแผนการณ์เป็นขั้นตอน และไม่มีเจตนาจะใช้ราคาผ้าให้แก่โจทก์ร่วมเลยและโดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้น จำเลยทั้งสามกับนางยุพาได้ผ้าไปจากโจทก์ร่วมผู้ถูกหลอกลวง การกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวก จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มิใช่ลักทรัพย์ดังที่โจทก์ฟ้อง แต่อย่างไรก็ตามข้อแตกต่างดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสามมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยทั้งสามมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยทั้งสามฐานฉ้อโกงตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบด้วยมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5