คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2632/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์คู่ความตกลงท้ากันว่า ขอให้ส่งหนังสือสัญญาซื้อขายไปตรวจพิสูจน์ว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ขายเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของ ส. หรือไม่ หากเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงฝ่ายจำเลยยอมแพ้ ถ้าหากไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงโจทก์ยอมแพ้ ทั้งสองฝ่ายจะออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง หากฝ่ายใดไม่ยินยอมออกค่าใช้จ่ายให้ถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากันและมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยนำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลภายในวันที่ 21 ธันวาคม 2532 หากไม่นำมาศาลจะถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่คู่ความท้ากันครั้นถึงกำหนดจำเลยได้นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลชั้นต้นเพียงฝ่ายเดียว ดังนี้ ในวันดังกล่าวศาลชั้นต้นยังไม่ได้ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์ ทั้งยังไม่ทราบค่าตรวจพิสูจน์ว่าเป็นจำนวนเท่าใดการที่โจทก์ยังไม่ได้วางเงินค่าตรวจพิสูจน์ต่อศาลชั้นต้นจึงมิใช่ข้อที่บ่งชี้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงโดยผิดเงื่อนไขตามคำท้าแต่เป็นกรณีที่ยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะต้องวางเงินค่าตรวจพิสูจน์การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดการส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์และวินิจฉัยว่าโจทก์แพ้คดีคำท้านั้นจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอห้ามมิให้จำเลยทั้งแปดรบกวนการครอบครองและแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์และมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียว ให้นายอำเภอเมืองขอนแก่นระงับการจดทะเบียนโอนมรดกให้แก่จำเลยทั้งแปด
จำเลยทั้งแปดให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและขอพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสุรพงษ์ ให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 353ตำบลพระลับ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ให้แก่จำเลยทั้งแปด
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ในวันที่ 27 ตุลาคม 2532 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความตกลงท้ากันว่า ขอให้ส่งหนังสือสัญญาการซื้อขายฉบับลงวันที่10 กุมภาพันธ์ 2532 (เอกสารหมาย จ.ล.1) ไปตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อในช่องผู้ขายเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของนายสุรพงษ์หรือไม่ หากเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงฝ่ายจำเลยยอมแพ้ ถ้าหากไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงโจทก์ยอมแพ้ ในการตรวจพิสูจน์ทั้งสองฝ่ายจะออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง หากฝ่ายใดไม่ยินยอมออกค่าใช้จ่ายให้ถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากัน ต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม 2532 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยนำเงินค่าตรวจพิสูจน์ที่จะออกคนละครึ่งมาวางต่อศาลภายในวันที่ 21 ธันวาคม 2532หากไม่นำมา ศาลจะถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 27 ตุลาคม 2532 เมื่อถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2532ปรากฏว่าจำเลยได้นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลชั้นต้น แต่โจทก์ไม่นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางภายในกำหนด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางศาลภายในกำหนด ดังนั้น โจทก์ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสุรพงษ์ ให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 353 ตำบลพระลับ อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น ให้แก่จำเลยทั้งแปด ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งแปดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งแปดว่า ที่โจทก์ไม่ได้วางเงินค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อในหนังสือสัญญาการซื้อขายรายพิพาท โจทก์จะต้องแพ้คดีตามคำท้าหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 6 ธันวาคม 2532 ที่สั่งให้โจทก์จำเลยนำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลภายในนัดหน้า คือให้วางภายในวันที่ 21 ธันวาคม2532 นั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นยังไม่ได้ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์เพราะยังต้องรอสอบถามไปยังผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่นจำกัด ก่อนว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 1 นั้นใช่ลายมือชื่อของนายสุรพงษ์ โฉมสุภาพ ที่ลงไว้ต่อหน้าเจ้าหน้าที่จริงหรือไม่ แสดงว่ายังอยู่ในระหว่างการรวบรวมเอกสารที่จะส่งตรวจพิสูจน์อยู่ ค่าตรวจพิสูจน์ก็ยังไม่ทราบว่าจะต้องเสียเท่าใดเมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์เพราะยังรวบรวมเอกสารที่ตรวจพิสูจน์ไม่ครบ ทั้งยังไม่ทราบค่าตรวจพิสูจน์ว่าเป็นจำนวนเท่าใด การที่โจทก์ยังไม่ได้วางเงินค่าตรวจพิสูจน์ต่อศาลชั้นต้นตามที่ปรากฏในรายงานดังกล่าวจึงมิใช่ข้อที่บ่งชี้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงโดยผิดเงื่อนไขตามคำท้า แต่เป็นกรณีที่ยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะต้องวางเงินค่าตรวจพิสูจน์ต่อศาลชั้นต้นการที่ศาลชั้นต้นด่วนงดการส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์ โดยวินิจฉัยว่าโจทก์แพ้คดีตามคำท้านั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้คู่ความมีคำท้าให้แพ้ชนะต่อกัน ดังนั้นจึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้เป็นไปตามคำท้า ฎีกาของจำเลยทั้งแปดฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share