คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์อ้างว่าสัญญาเช่าซื้อได้กำหนดวันชำระค่าเช่าซื้อไว้แน่นอนเมื่อจำเลยที่1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อจึงถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันโดยมิจำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนจำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยที่1มิได้เป็นผู้ผิดสัญญาเช่าซื้อเป็นการต่อสู้ว่าสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองยังไม่เลิกกันศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองเลิกกันแล้วหรือไม่ด้วยเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่1มิได้ผิดสัญญาแต่โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้วดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้วจึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกฟ้องและนอกประเด็น เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันไม่ว่าจะโดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือโดยคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญากันก็ตามคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้นการที่จะชดใช้คืนให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นฯตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่1ชดใช้เงินค่าใช้ทรัพย์ให้โจทก์นั้นหาเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นไม่แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่1มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่จำต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายรังสฤษดิ์ได้เช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไป1 คัน โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน2531 จำเลยที่ 1 ตกลงรับโอนการเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากนายรังสฤษดิ์มาเป็นของจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมภายหลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 24 เรื่อยมาสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันทันที โดยมิจำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าโจทก์ติดตามยึดรถคืนได้ในสภาพไม่เรียบร้อย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 78,690 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ผิดสัญญาเช่าซื้อเพราะจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเช่าซื้อตลอด ซึ่งโจทก์ยินยอมรับค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยมิได้อิดเอื้อนแต่อย่างใดจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายขณะที่โจทก์ยึดรถยนต์คันที่เช่าซื้อไปจากจำเลยที่ 1 รถยนต์ยังอยู่ในสภาพดี โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าเสียหายจำนวน78,690 บาท จากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าใช้ทรัพย์และค่าซ่อมรถรวม 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อ และจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยปริยาย จึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นนั้นเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่า สัญญาเช่าซื้อได้กำหนดวันชำระค่าเช่าซื้อไว้แน่นอน เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์จึงถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันโดยมิจำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนจำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ผิดสัญญาเช่าซื้ออันเป็นการต่อสู้ว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองยังไม่เลิกกัน ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1ผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่ จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองเลิกกันแล้วหรือไม่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญาแต่โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้ว ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้ว จึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกคำฟ้องและนอกประเด็น
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า เมื่อจำเลยที่ 1มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ในเรื่องค่าใช้ทรัพย์และค่าซ่อมรถคันพิพาท จึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันไม่ว่าจะโดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญัติแห่งกฎหมายหรือโดยคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาต่อกันก็ตามคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การที่จะชดใช้คืนให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าใช้ทรัพย์ให้โจทก์ 15,000 บาท นั้น จึงหาเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใดไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมรถ 15,000 บาทแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า คำขอค่าเสียหายในการซ่อมรถ 15,000 บาทให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share