คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7194/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าเมื่อวันที่16พฤศจิกายน2537เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมาย(ก)จำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย(ข)จำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้ปฎิบัติหน้าที่ผู้ประจำรถโดยเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและถนนสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนตามคำฟ้องข้อ(ก)เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนต่างเวลาและต่างจำนวนกันแต่กลับยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยเสพตามฟ้องข้อ(ก)กับที่จำเลยเสพขณะขับรถยนต์บรรทุกตามฟ้องข้อ(ข)เป็นจำนวนเดียวกันและเสพในครั้งหนึ่งคราวเดียวกันแม้การเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวจะเป็นความผิดสำเร็จในตัวเองแต่ความผิดฐานขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและทางสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนก็เป็นกรรมเดียวที่เกิดจากการกระทำหลายอันเพราะต้องอาศัยองค์ประกอบความผิดคือการเสพเมทแอมเฟตามีนประกอบกับการขับรถไปตามทางหลวงหรือทางสาธารณะด้วยจึงจะเป็นความผิดดังนั้นการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 62 ตรี, 106 ตรีพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 157 ทวิพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 102 (3 ตรี),127 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62 ตรี,106 ตรี พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิวรรคหนึ่ง, 157 ทวิ วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ.2522 มาตรา 102 (3 ตรี), 127 ทวิ เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เว้นแต่ความผิดฐานเป็นผู้ขับแล้วเสพวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522กับความผิดฐานเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตปฎิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถแล้วเสพวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นกรรมเดียวกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำคุก 1 ปีฐานเป็นผู้ขับแล้วเสพวัตถุออกฤทธิ์ ลงโทษจำคุก 2 เดือน รวมลงโทษจำคุก 1 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 เดือน พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยก่อนมีคำพิพากษาแล้วไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำเลย และให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยมีกำหนด 6เดือน นับแต่วันมีคำพิพากษา
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 62 ตรี, 106 ตรี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า ข้อ 1เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมาย (ก) จำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย (ข) จำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้ปฎิบัติหน้าที่ผู้ประจำรถโดยเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและถนนสาธารณะ โดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนตามคำฟ้องข้อ 1 (ก) เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทาน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้บรรยายว่า จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน ต่างเวลาและต่างจำนวนกัน แต่กลับยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยเสพตามคำฟ้องข้อ 1 (ก) กับที่จำเลยเสพขณะขับรถยนต์บรรทุกตามคำฟ้องข้อ 1 (ข) เป็นจำนวนเดียวกันและเสพในครั้งหนึ่งคราวเดียวกัน แม้การเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวจะเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง แต่ความผิดฐานขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนก็เป็นกรรมเดียวที่เกิดจากการกระทำหลายอันเพราะต้องอาศัยองค์ประกอบความผิดคือ การเสพเมทแอมเฟตามีนตามที่กล่าวแล้วประกอบกับการขับรถไปตามทางหลวงหรือทางสาธารณะด้วยจึงจะเป็นความผิด ดังนั้นการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียว ที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ใช้ดุลพินิจในการลงโทษโดยรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว แต่เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้จำเลยกระทำความผิดซ้ำอีกเห็นควรคุมความประพฤติจำเลยด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share