คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6323/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยประพฤติเนรคุณเป็น 2 ประการ ประการแรกจำเลยขับไล่และด่าว่าโจทก์ว่า “แก่แล้วทำไมไม่ตายเสียที น่าจะตายให้พ้น ๆ ไป จะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น” ประการที่สอง จำเลยไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ทั้ง ๆ ที่จำเลยสามารถจะหยิบยื่นให้ได้ อันเป็นเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) และ (3) ตามลำดับ แต่เหตุประการแรกโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยด่าว่าโจทก์อย่างไรบ้างที่ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) ส่วนเหตุในประการที่สองโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่อุปการะเลี้ยงดูและไม่ให้ค่าเลี้ยงชีพเมื่อโจทก์ขอ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ยังมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินอีกอย่างน้อย 1 แปลง และโจทก์ยังมีบุตรคนอื่น ๆ ให้การอุปการะเลี้ยงดูอีกด้วย ตามสถานภาพของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าเป็นคนยากไร้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (3) กรณีจึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประพฤติเนรคุณขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6852, 10394 และ 10395 ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ และบ้านเลขที่ 6/2 ถนนธรรมวิถี ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ คืนให้โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถจัดการดังกล่าวได้ ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยดูแลและเลี้ยงดูโจทก์มาตลอดไม่เคยขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน ไม่เคยด่าโจทก์ ทั้งยังให้เงินโจทก์ใช้เป็นประจำ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 โจทก์ถึงแก่กรรม จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนางพรศุกร์ บุตรของโจทก์อีกคนหนึ่งเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ถอนคืนการให้ที่ดินและบ้านที่โจทก์ยกให้จำเลย และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6852,10394 และ 10395 ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมบ้านเลขที่ 6/2 บนที่ดินดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 แทนการแสดงเจตนาของจำเลย หาก
จำเลยไม่สามารถโอนที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ ให้ใช้ราคาแทนจำนวน 220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ปรากฏว่า ในขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้นางพรศุกร์
เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะนั้นเป็นเวลาภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 และเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่จะสั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกนางพรศุกร์เข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ โดยศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจที่จะสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้นางพรศุกร์เข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้นางพรศุกร์เข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะนั้นเสีย แต่เนื่องจากคดีนี้ได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว จึงเห็นสมควรสั่งคำร้องของจำเลยดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 สั่ง ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่านางพรศุกร์เป็นบุตรของโจทก์ จึงเป็นทายาทของโจทก์ย่อมเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะได้ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นางพรศุกร์เข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ
ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์และนางแดงเป็นสามีภริยากัน มีบุตรด้วยกันรวม 8 คน โดยจำเลยเป็นบุตรคนที่ 8 เดิมโจทก์และนางแดงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6852, 10394 และ10395 ซึ่งตั้งอยู่ติดต่อกันเป็นผืนเดียว พร้อมบ้านเลขที่ 6/2 ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2542 โจทก์และนางแดงจดทะเบียนยกที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยเสน่หาตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ. 1 ถึง จ. 3 และหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย ล. 2 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุที่จะถอนคืนการให้ดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 บัญญัติว่า “อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดั่งจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา หรือ
(2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ
(3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้”
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยประพฤติเนรคุณเป็น 2 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง จำเลยขับไล่และด่าว่าโจทก์ว่า “แก่แล้วทำไมไม่ตายเสียที น่าจะตายให้พ้น ๆ ไป จะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น” และประการที่สอง จำเลยไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นเลี้ยงชีวิตโจทก์ แม้ว่าโจทก์จะขอเงินจำเลยเพียงวันละ 20 บาท เพื่อใช้ซื้ออาหารเลี้ยงชีพแต่จำเลยไม่ให้ ทั้ง ๆ ที่จำเลยสามารถจะหยิบยื่นให้ได้ อันเป็นเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) และ (3) แต่ในทางนำสืบของโจทก์ โจทก์อ้างตนเองเพียงปากเดียวเบิกความว่า หลังจากจำเลยได้รับการยกให้ที่ดินพร้อมบ้านแล้วจำเลยไม่ยอมดูแลช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์เหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติมาก่อน โจทก์ขอเงินค่าเลี้ยงชีพจากบุตรของโจทก์นอกจากจำเลย และเคยขอเงินค่าเลี้ยงชีพจากจำเลย แต่จำเลยไม่ให้ นอกจากนี้จำเลยยังเคยพูดขับไล่โจทก์ออกจากบ้านด้วย และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์ยังมีชื่อเป็นผู้ครอบครองที่ดินอีก 1 แปลง ตั้งอยู่
ที่ตำบลบ้านวังไผ่ ตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โจทก์ยกให้บุตรคนอื่นแล้วแต่ยังไม่ได้โอนทางทะเบียน จำเลยและสามีออกจากบ้านไปเช่าบ้านอยู่ที่บริเวณวัดคีรีวงศ์นานแล้ว โจทก์ได้รับการเลี้ยงดูจากบุตรคนอื่น ๆ ของโจทก์ และเหตุที่โจทก์มาฟ้องเพิกถอนคืนการให้เป็นคดีนี้ เนื่องจากโจทก์คิดว่า หากโจทก์เสียชีวิตแล้ว จำเลยจะฟ้องขับไล่พี่น้องคนอื่น ๆ ออกจากบ้านดังกล่าว แม้ต่อมาจะเบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงว่า จำเลยไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ไม่ใช่เกรงว่าบุตรคนอื่น ๆ ของโจทก์จะไม่มีที่อยู่ โดยโจทก์มิได้นำสืบว่า จำเลยด่าว่าโจทก์ว่าอย่างไรบ้าง ที่ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) และโจทก์เบิกความยอมรับว่า โจทก์ยังมีที่ดินอีก 1 แปลง แม้ยกให้บุตรคนอื่นไปแล้วแต่ยังไม่ได้โอนทางทะเบียนก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ อันเป็นการเจือสมกับทางนำสืบของจำเลย ซึ่งจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ยังมีที่ดินอีก 5 แปลง อยู่ที่ตำบลบ้านวังไผ่ ตำบลนครสวรรค์ตกอำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ แม้จะยกให้บุตรคนอื่น ๆ ไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้โอนทางทะเบียน พี่น้องคนอื่น ๆ ของจำเลยพูดยุแหย่โจทก์ให้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เนื่องจากบุตรคนอื่น ๆ ของโจทก์เกรงว่าจำเลยจะฟ้องขับไล่ให้ออกจากบ้าน การที่โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยประพฤติเนรคุณ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ข้อเท็จจริงตามฟ้อง แต่โจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง และกลับได้ความว่า โจทก์ยังมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินอีกอย่างน้อย 1 แปลง และโจทก์ยังมีบุตรคนอื่น ๆ อุปการะเลี้ยงดูอยู่อีกด้วย ตามสถานภาพของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าเป็นคนยากไร้ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (3) ทั้งการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็น่าเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากโจทก์คิดว่า หากโจทก์เสียชีวิตแล้ว จำเลยจะฟ้องขับไล่พี่น้องคนอื่น ๆ แต่พี่น้องของจำเลยคนอื่น ๆ ก็ได้รับการยกให้ที่ดินจากโจทก์เช่นกัน แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ก็ตาม พี่น้องของจำเลยคนอื่น ๆ ก็ยังคงมีที่อยู่อาศัย กรณีจึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะถอนคืนการให้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share