คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เหตุเกิดเวลาประมาณ11นาฬิกาก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีโอกาสเห็นจำเลย2ครั้งซึ่งมีระยะเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะจำคนร้ายได้และเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยในเวลาต่อมาก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำจำเลยว่าเป็นคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัวG โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่8กรกฎาคม2537เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีก1คนราคา4,500บาทร่วมกันชิงทรัพย์เงินจำนวน800บาทสร้อยคอทองคำหนัก2บาทราคา9,500บาทและสร้อยคอทองคำหนัก1บาทราคา4,500บาทรวมราคาทรัพย์14,800บาทของนางสำรวนเชื้อปรางผู้เสียหายโดยจำเลยกับพวกใช้กำลังประทุษร้ายผลักผู้เสียหายล้มใช้อาวุธปืนขู่บังคับว่าทันใดนั้นจะยิงผู้เสียหายและจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การชิงทรัพย์ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์พาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเหตุเกิดที่ตำบลไร่เก่าอำเภอปราณบุรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียนราชบุรีน-3232ที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,339,340ตรีริบของกลางให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์14,800บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339วรรคสองประกอบมาตรา340ตรี,83จำคุก15ปีของกลางริบให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์14,800บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าวันที่8กรกฎาคม2537เวลาประมาณ11นาฬิกานางสำรวนเชื้อปรางผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปทำไร่เมื่อไปถึงทางแยกเข้าไร่ใหม่ก็จอดรถซื้อของเห็นจำเลยและพวก1คนนั่งอยู่เมื่อซื้อของแล้วผู้เสียหายขับรถไปตามถนนลูกรังขณะอยู่ห่างจากไร่ประมาณ1กิโลเมตรพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายไล่ตามทันผู้เสียหายและแล่นคู่กันจำเลยกระชากแขนขวาของผู้เสียหายทำให้รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันล้มจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่บังคับห้ามมิให้ผู้เสียหายร้องจากนั้นพวกของจำเลยปลดเอาสร้อยคอทองคำหนัก2บาท1เส้นสร้อยคอทองคำหนัก1บาท1เส้นและล้วงเอาธนบัตรจำนวน800บาทไปจากกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายส่วนจำเลยเดินไปที่รถของผู้เสียหายแล้วหยิบเอากุญแจรถไปจากนั้นพวกของจำเลยขับรถให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายหลบหนีผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลไร่เก่าเจ้าพนักงานตำรวจออกติดตามจำเลยกับพวกโดยสอบถามชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุทราบว่าจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางหมู่บ้านหนองแกจึงตามไปจนพบบ้านชั้นเดียวมีลักษณะคล้ายกระต๊อบหน้าบ้านประตูปิดเจ้าพนักงานตำรวจเคาะประตูเรียกอยู่ประมาณ10นาทีจำเลยเปิดประตูออกมาเมื่อเห็นเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยมีท่าทีตกใจกลัวเจ้าพนักงานตำรวจเห็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิสีดำไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนจอดอยู่จึงสั่งให้จำเลยนำรถจักรยานยนต์ออกมาตรวจสอบและถามจำเลยว่าขับรถจักรยานยนต์ไปไหนและให้ใครยืมรถจักรยานยนต์ไปใช้หรือไม่จำเลยบอกว่าไม่มีแต่เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับเครื่องยนต์ดูปรากฏว่าเครื่องยนต์ยังร้อนเป็นพิรุธจึงควบคุมตัวจำเลยไปให้ผู้เสียหายดูตัวเมื่อผู้เสียหายเห็นจำเลยและรถจักรยานยนต์ก็ชี้ตัวยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่าชิงทรัพย์ของผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ จำเลยนำสืบว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ8นาฬิกาจำเลยพาภริยาไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลกุยบุรีกลับจากโรงพยาบาลกุยบุรีเวลาประมาณ15นาฬิกาต่อมาเวลาประมาณ16นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจให้ผู้เสียหายไปดูตัวจำเลยและค้นบ้านจำเลยผู้เสียหายดูแล้วแจ้งว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายแล้วค้นบ้านจำเลยแต่ไม่พบสิ่งของที่ผิดกฎหมายต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจผู้ค้นกลับมาค้นบ้านอีกครั้งขณะทำการค้นสิ่งของภายในบ้านจำเลยเสียหายจึงเกิดโต้เถียงกันเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยมาดำเนินคดี พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้าย2คนชิงทรัพย์ตามฟ้องของผู้เสียหายไปมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ11นาฬิกาพยานขับรถจักรยานยนต์ไปทำไร่ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ30กิโลเมตรเมื่อขับรถไปถึงบริเวณทางแยกเข้าไร่ใหม่ได้จอดรถเพื่อซื้อของพบจำเลยกับเพื่อนอีก1คนนั่งอยู่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเมื่อซื้อของเสร็จแล้วพยานขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปไร่พอจะถึงไร่ห่างกันประมาณ1กิโลเมตรพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายไล่ตามพยานมาทันขณะที่รถแล่นคู่กันจำเลยกระชากแขนขวาของพยานทำให้รถเสียหลักล้มทั้งสองคันจำเลยลุกขึ้นเดินเข้ามาหาพยานแล้วใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่บังคับไม่ให้ร้องพวกของจำเลยเข้ามาปลดเอาสร้อยคอทองคำ2เส้นและล้วงเอาธนบัตรจำนวน800บาทจากกระเป๋ากางเกงพยานไปต่อมาจำเลยได้เดินไปที่รถจักรยานยนต์ของพยานแล้วหยิบเอากุญแจรถไปด้วยจำเลยขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยหลบหนีพยานจำจำเลยและพวกของจำเลยได้เพราะจำเลยกับพวกไม่มีอะไรปกปิดใบหน้าพยานได้วิ่งไปหาสามีพยานที่ไร่แล้วพากันไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านจากนั้นผู้ใหญ่บ้านได้พามาแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลตลาดไร่เก่าเวลาประมาณ17นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจพาพยานไปดูตัวจำเลยที่บ้านหลังหนึ่งพยานจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายและเห็นรถจักรยานยนต์จอดอยู่บริเวณบ้านจำเลยจำได้ว่าเป็นรถที่จำเลยกับพวกใช้ในขณะเกิดเหตุปัญหาคงมีว่าผู้เสียหายจดจำคนร้ายได้แน่นอนเพียงใดเห็นว่าเหตุเกิดเวลาประมาณ11นาฬิกาผู้เสียหายมีโอกาสเห็นจำเลย2ครั้งกล่าวคือก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเข้าไปซื้อของที่ร้านแห่งหนึ่งเห็นจำเลยกับพวกนั่งอยู่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันขณะเกิดเหตุเมื่อรถจักรยานยนต์2คันล้มจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายผู้เสียหายจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าคนร้ายในระยะใกล้เมื่อคนร้ายไปถึงตัวได้ใช้อาวุธปืนจี้พร้อมทั้งห้ามผู้เสียหายมิให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือพวกของจำเลยเข้ามาปลดเอาสร้อยคอและล้วงเอาธนบัตรไปก่อนจำเลยจะหลบหนีจำเลยยังได้เดินไปที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแล้วหยิบเอากุญแจรถไปด้วยจึงมีระยะเวลาที่ผู้เสียหายเห็นคนร้ายนานพอสมควรที่จะจำคนร้ายได้จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัวที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเบิกความว่าเจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายไปดูตัวจำเลยที่บ้านแล้วชี้ให้พนักงานตำรวจจับจำเลยแต่จ่าสิบตำรวจชัยวัฒน์คีรีวัฒน์พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับจำเลยกลับเบิกความว่ารับแจ้งเหตุแล้วออกติดตามคนร้ายไปหมู่บ้านหนองแกพบรถจักรยานยนต์จอดอยู่ที่บ้านจำเลยเครื่องยนต์ยังร้อนจึงเชิญจำเลยมาสถานีตำรวจพบผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยแล้วชี้จำเลยว่าเป็นคนร้ายเป็นการแตกต่างกันหาข้อยุติไม่ได้ว่าขณะเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยผู้เสียหายอยู่ด้วยหรือไม่เห็นว่าเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายข้อแตกต่างดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความหาเป็นพิรุธทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น” พิพากษายืน

Share