คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6306/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนัดผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 ไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกันในรถยนต์ของจำเลยระหว่างทางที่ผู้เสียหายที่ 2 นั่งไปและกลับจากโรงเรียน เป็นเหตุอันไม่สมควรอย่างยิ่ง แม้จำเลยไม่ได้ขับรถพาผู้เสียหายที่ 2 ออกไปนอกเส้นทางที่ต้องกลับบ้านและพาผู้เสียหายที่ 2 มาส่งที่บ้านตามปกติ ก็ยังเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 318, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายต่อเสรีภาพ ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ เป็นเงิน 500,000 บาท และผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายต่อเสรีภาพ ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ กับค่าเสียหายจากการถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา รวมเป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก (เดิม) และมาตรา 319 วรรคแรก (ใหม่) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 21 ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 14 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกคำร้องของผู้เสียหายที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งให้ตกเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 อายุ 16 ปีเศษ พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 และมารดา ผู้เสียหายที่ 2 ต้องเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนโดยรถรับส่งนักเรียนที่จำเลยเป็นคนขับ จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยผู้เสียหายที่ 2 ยินยอมในรถยนต์ของจำเลยระหว่างทางที่จำเลยขับรถรับส่งผู้เสียหายที่ 2 ไปกลับจากโรงเรียน รวม 7 ครั้ง ในวันเวลาตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหายที่ 2 โจทก์และผู้เสียหายที่ 2 ไม่อุทธรณ์ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและคำร้องทางแพ่งดังกล่าวยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 ผู้เป็นบิดาเพื่อการอนาจารหรือไม่ และที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายที่ 2 เต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ตามที่ได้ความ ซึ่งแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องนั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 เป็นผู้เยาว์ยังอยู่ในอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 การที่จำเลยนัดกับผู้เสียหายที่ 2 ที่จะมีความสัมพันธ์กันในรถยนต์ของจำเลยระหว่างทางที่ผู้เสียหายที่ 2 นั่งไปและกลับจากโรงเรียนนั้น เป็นเหตุอันไม่สมควรอย่างยิ่ง แม้จำเลยไม่ได้ขับรถพาผู้เสียหายที่ 2 ออกไปนอกเส้นทางที่ต้องกลับบ้านและพาผู้เสียหายที่ 2 มาส่งที่บ้านตามปกติ ก็ยังเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 อยู่นั่นเอง มิใช่ว่าจำเลยต้องพาผู้เสียหายที่ 2 ไปนอกเส้นทางที่ใช้ขับรถกลับบ้านมาส่งผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น จึงจะเป็นการพรากตามที่จำเลยฎีกา การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง แต่จะเห็นได้ว่ากฎหมายบัญญัติให้การพรากผู้เยาว์เป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งมีโทษเบากว่า ก็มิใช่เรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง หรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมาในฎีกานั้น ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า ค่าสินไหมทดแทนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดมานั้นสูงเกินไปหรือไม่ เห็นว่า ถึงแม้ผู้เสียหายที่ 2 จะยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา แต่การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาของผู้เสียหายที่ 2 ต้องได้รับความเสียใจทุกข์ทรมานกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ค่าสินไหมทดแทนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดมานั้น เหมาะสมกับพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดที่จำเลยกระทำแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 3 ปี และลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เพราะมีเหตุบรรเทาโทษจากคำให้การและทางนำสืบของจำเลยที่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะลดโทษให้จำเลยอีก และจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน แม้ผู้เสียหายที่ 2 จะยินยอม แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 33 ปี มีภรรยาแล้ว แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมกลับไม่ยับยั้งชั่งใจ และกระทำเรื่องที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุน้อย ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่สมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share