แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าซื้อข้อ 5 กำหนดว่า ในกรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไม่ว่าโดยเหตุสุดวิสัยหรือโดยเหตุใด ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดแต่ฝ่ายเดียวชำระค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบ การที่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อชำระค่ารถยนต์ที่ค้างตามสัญญาดังกล่าว จึงเป็นการฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาทรัพย์สิ้นที่เช่าซื้อจนครบตามที่ระบุไว้ในสัญญา หาใช่ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 366/2521)
ในกรณีฟ้องเรียกราคารถยนต์ที่เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวข้างต้นไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา164 มิใช่อายุความ 2 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้เช่าซื้อรถยนต์ดัทสันกระบะของโจทก์ไป ๑ คัน มีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน ค่าเช่าซื้อเป็นเงิน ๑๓๒,๔๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญา ๒๑,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือสัญญาจะผ่อนชำระเป็น ๓๐ งวด ๆ ละ เดือน แต่จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ ๒๐ ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๓ ให้โจทก์เพียง ๒,๑๐๐ บาท ยังขาดอีก ๑,๕๐๐ บาท แล้วผิดนัดตั้งแต่งวดดังกล่าวเป็นต้นมาเกิน ๒ งวดติดต่อกัน เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ได้นำความไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า รถคันที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๔ ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๕ จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดฝ่ายเดียวชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จนครบ เงินค่ารถยังค้างชำระอยู่อีก ๓๗,๙๐๐ บาทจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินค่ารถ ๓๗,๙๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การว่า สิทธิเรียกร้องเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดเริ่มแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๓ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๖ เกิน ๒ ปี คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องเพราะสัญญาค้ำประกันไม่ได้ระบุไว้ชัดว่า ทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหายแล้วจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๘ ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ประกอบด้วยมาตรา ๒๓๘ ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเข่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องจากโจทก์โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อของจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๓, จ.๔ จำเลยที่ ๑ ชำระเงินในวันทำสัญญาและต่อมาผ่อนชำระเป็นงวดให้โจทก์ครบ ๑๙ งวด แต่งวดที่ ๒๐ ประจำวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๓ ชำระให้โจทก์ไม่ครบถ้วนแล้วไม่ชำระให้โจทก์อีกเลย ยังคงค้างค่าเช่าซื้ออยู่ทั้งหมด ๓๗,๙๐๐ บาทต่อมารถยนต์ที่เช่าซื้อหาย
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๕ ซึ่งกำหนดว่า ในกรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไม่ว่าโดยเหตุสุดวิสัยหรือโดยเหตุใด จำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดแต่ฝ่ายเดียวชำระค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบ การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่ารถยนต์ที่ค้างตามข้อสัญญาดังกล่าวจำนวน ๓๗,๙๐๐ บาท จึงเป็นการฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อจนครบตามที่ระบุไว้ในสัญญา หาใช่ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไม่ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๖/๒๕๒๑ ระหว่าง บริษัทสยามกลการจำกัด โดยนายพยุง วัฒนสิงหะ ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์ นายทองม้วน ธงฤทธิ์หรือธุงฤทธิ์ หรือม้วน ทรงฤทธิ์ กับพวก จำเลย ในกรณีฟ้องเรียกราคารถยนต์ที่เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงต้องใช้อายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ มิใช่อายุความ ๒ ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ส่วนปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องจากโจทก์โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา โจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงมีอำนาจฟ้อง และตามสัญญาค้ำประกัน เอกสารหมาย จ.๓, จ.๔ กำหนดว่า ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินในความเสียหายใด ผู้ประกันยอมค้ำประกันและรับผิดชอบร่วมกับผู้เช่าซื้อในความรับผิดชอบใช้เงินนั้นทุกประการ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน ๓๗,๙๐๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามข้อสัญญาในต้นเงิน ๓๗,๙๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๒,๐๐๐ บาท.