แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือหลักฐานการได้รับเงินและสละสิทธิ์ในที่ดินมรดกเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแก่การก่อ เปลี่ยนแปลงโอนหรือระงับซึ่งสิทธิในที่ดินมรดก จึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2536 เวลากลางวันถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2537 เวลากลางวัน วันและเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำปลอมเอกสารเป็นหนังสือหลักฐานการได้รับเงินและสละสิทธิในที่ดินมรดกซึ่งนางชม แพทย์เพียร ผู้เสียหายออกให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นเอกสารสิทธิ โดยร่วมกันทำปลอมเอกสารดังกล่าวขึ้นทั้งฉบับแล้วร่วมกันนำเอกสารสิทธิซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันทำปลอมขึ้นไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลชั้นต้นในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 658/2537 หมายเลขแดงที่ 520/2539ซึ่งจำเลยที่ 1 ถูกผู้เสียหายกับพวกยื่นฟ้องเป็นจำเลยเรื่องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย คู่ความในคดีแพ่งและศาล เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2537เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ได้เบิกความอันเป็นเท็จ นำสืบและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 658/2537 หมายเลขแดงที่ 520/2539ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2537 จำเลยที่ 2 ได้เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่658/2537 หมายเลขแดงที่ 520/2539 และจำเลยที่ 2 นำสืบและแสดงเอกสารซึ่งจำเลยที่ 2 กับพวกได้ร่วมกันทำปลอมขึ้นเป็นพยานต่อศาลซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดี และเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2537จำเลยที่ 3 เบิกความอันเป็นเท็จ นำสืบและแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 658/2537 หมายเลขแดงที่520/2539 ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดี ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปแบ่งแยกสิทธิครอบครองให้แก่ผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าว โดยหากศาลเชื่อตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เบิกความ ศาลจะต้องพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 177, 180, 264, 265, 268
ระหว่างพิจารณา นางชม แพทย์เพียร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 265, 268ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคสองจำคุกคนละ 1 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 6 เดือนส่วนข้อหาเบิกความเท็จ นำสืบและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้นเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 กับที่ 2 อุทธรณ์ เฉพาะโจทก์ อัยการพิเศษประจำเขต 3 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาข้อกฎหมายว่าหนังสือหลักฐานการได้รับเงินและสละสิทธิในที่ดินมรดกของโจทก์ร่วมไม่ใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)หากแต่เป็นเอกสารธรรมดา ขอให้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้น้อยลงและขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น เห็นว่าหนังสือหลักฐานการได้รับเงินและสละสิทธิในที่ดินมรดกของโจทก์ร่วมตามฟ้องเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแก่การก่อ เปลี่ยนแปลงโอนหรือระงับซึ่งสิทธิในที่ดินมรดกของโจทก์ร่วมตามความหมายของคำว่า “เอกสารสิทธิ” แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) แล้วเอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิ หาใช่เอกการธรรมดาดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาไม่ ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชอบแล้ว
พิพากษายืน