แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เทศบาลประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือน  จำเลยรับเงินภาษีโรงเรือนมาแล้วไม่ลงบัญชี  กลับยักยอกเอาไปเสีย  เช่นนี้  เทศบาลย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ได้
จำเลยเป็นพนักงานวิสามัญ  มีหน้าที่ตรวจควบคุมการเก็บเงินตลาดสดและรับงานด้านภาษีโรงเรือน  ขึ้นต่อแผนกคลังของเทศบาลเมือง  จำเลยรับเงินเดือนจากเงินประเภทงบประมาณเงินเดือน  ฉะนั้น  การที่จำเลยเก็บหรือรับเงินจากผู้ที่นำเงินมาชำระเป็นค่าภาษีโรงเรือนให้แก่เทศบาลแล้วไม่ลงบัญชี  กลับยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์อย่างอื่นเสีย  ดังนี้  ย่อมเป็นการกระทำในหน้าที่พนักงานผู้เก็บเงินตามหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งและมอบหมาย  เมื่อยักยอกเอาเงินที่ได้รับไว้ตามหน้าที่ของจำเลย  จำเลยย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำการอันเป็นความผิดต่อหน้าที่ของตน  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 147
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยเป็นพนักงานเทศบาลวิสามัญประจำเทศบาลเมืองนครราชสีมา  ตำแหน่งพนักงานตรวจแผนกคลัง  มีหน้าที่สำรวจและเร่งรัดภาษีโรงเรือนรับเงินค่าภาษีโรงเรือนจากผู้ชำระแล้วนำส่งเทศบาล  แจ้งรายการประเมินควบคุมคนเก็บเงินค่าเช่าตลาดและค่าหาบเร่  เป็นกรรมการตรวจโคที่จะฆ่าร่วมกับคณะกรรมการของอำเภอ  จำเลยรับเงินค่าภาษีโรงเรือนจากผู้ชำระ แล้วจำเลยได้ใช้อำนาจหน้าที่ของจำเลยในทางทุจริตกับปฏิบัติหน้าที่โดยทางมิชอบ  เบียดบังเอาเงินที่รับไว้นั้นเป็นของจำเลยเสีย  โดยทุจริตทำให้เทศบาลเมืองนครราชสีมา  ได้รับความเสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๕๗  พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา  พ.ศ. ๒๕๐๒  มาตรา ๓, ๗, ๑๓
จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมาย  และไม่มีหน้าที่เก็บภาษี  จำเลยเพียงแต่เป็นลูกจ้าง  ไม่ได้รับเงินเดือนตามงบประมาณในประเภทเงินเดือน  ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินของเทศบาล  การเสียภาษีโรงเรือนให้แก่เทศบาลนั้น  จะต้องมีการประเมินเสียก่อน  คดีนี้เทศบาลยังไม่ได้ประเมิน  จำเลยได้รับเงินจากผู้ชำระค่าภาษีไว้เป็นส่วนตัว  เพื่อส่งมอบแก่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยต่อไป  และจำเลยได้ส่งมอบแล้ว  ไม่ได้เบียดบังเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเลย  ทั้งจำเลยกระทำไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาด้วย  จำเลยไม่มีความผิด  และคดีขาดอายุความฟ้องแล้วเทศบาลเมืองนครราชสีมามิใช่ผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า  จำเลยมีหน้าที่เกี่ยวกับภาษีโรงเรือนและรับเงินค่าภาษีโรงเรือนไว้จากผู้ชำระค่าภาษีแล้วไม่นำส่งลงบัญชีของเทศบาลเมืองนครราชสีมายักยอกเอาไปเสีย  เทศบาลเมืองนครราชสีมาได้รับความเสียหายและคดีไม่ขาดอายุความ  พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา  พ.ศ. ๒๕๐๒  มาตราเดียว  ให้จำคุก ๕ ปี  คำให้การชั้นสอบสวนจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  ลดโทษให้ ๑ ใน ๓  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘  คงจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน  ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๔,๙๑๐ บาท  แก่เทศบาลเมืองนครราชสีมาด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ที่จำเลยฎีกาว่า  เทศบาลเมืองนครราชสีมามิใช่ผู้เสียหาย  เพราะปลัดเทศบาลหรือสมุหบัญชีซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่บังคับบัญชาจำเลยโดยตรง  มิได้แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยประการหนึ่ง  และเงินที่โจทก์ฟ้องหาว่ายักยอกเอาไปนั้น  ยังเป็นเงินของนายธนัยและนายพูนสุขผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือนอยู่  และยังมิได้ยื่นประเมินให้เทศบาลเมืองนครราชสีมาเรียกเก็บภาษี  เงินนั้นจึงยังไม่ใช่เงินของเทศบาลอีกประการหนึ่ง  ฉะนั้น  จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ฟ้องร้องจำเลยนั้น  ปรากฏว่าเทศบาลประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือน  จำเลยรับเงินภาษีโรงเรือนมาแล้วไม่ลงบัญชี  กลับยักยอกเอาไปเสียเช่นนี้  เทศบาลย่อมเป็นผู้เสียหาย  และมีอำนาจร้องทุกข์ได้  และผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีก็ย่อมต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา ๓,  ๔,  ๕,  ๖  หาใช่จะต้องร้องทุกข์ได้เฉพาะสมุหบัญชีหรือปลัดเทศบาลเมืองนครราชสีมา  ดังจำเลยฎีกาไม่   ที่จำเลยฎีกาว่า  ปลัดเทศบาลและสมุหบัญชีเป็นเจ้าหนักงานเกี่ยวกับภาษี  ส่วนจำเลยเป็นเพียงพนักงานวิสามัญ  รับเงินเดือนงบประเภทใช้สอย  ไม่มีหน้าที่เร่งรัดภาษีโรงเรือน  จำเลยจึงมิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมาย  เห็นว่า  จำเลยเป็นพนักงานวิสามัญ  มีหน้าที่ตรวจควบคุมการเก็บเงินตลาดสดและรับงานด้านภาษีโรงเรือนขึ้นต่อแผนกคลังของเทศบาลเมือง  จำเลยรับเงินเดือนจากเงินประเภทงบประมาณเงินเดือน  ฉะนั้น   การที่จำเลยเก็บหรือรับเงินจากผู้ที่นำเงินมาชำระเป็นค่าภาษีโรงเรือนให้แก่เทศบาลแล้วไม่ลงบัญชี  กลับยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์อย่างอื่นเสีย  ดังนี้  ย่อมเป็นการกระทำในหน้าที่พนักงานผู้เก็บเงินตามหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งและมอบหมาย  เมื่อยักยอกเอาเงินที่ได้รับไว้ตามหน้าที่ของจำเลย  จำเลยย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำการอันเป็นความผิดต่อหน้าที่ของตน  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗  ส่วนฎีกาของจำเลยในข้ออื่น  เป็นการฎีกาเถียงข้อเท็จจริง  จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา  ไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน  ยกฎีกาจำเลย
