คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 630/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เทศบาลประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือน จำเลยรับเงินภาษีโรงเรือนมาแล้วไม่ลงบัญชี กลับยักยอกเอาไปเสีย เช่นนี้ เทศบาลย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ได้
จำเลยเป็นพนักงานวิสามัญ มีหน้าที่ตรวจควบคุมการเก็บเงินตลาดสดและรับงานด้านภาษีโรงเรือน ขึ้นต่อแผนกคลังของเทศบาลเมือง จำเลยรับเงินเดือนจากเงินประเภทงบประมาณเงินเดือน ฉะนั้น การที่จำเลยเก็บหรือรับเงินจากผู้ที่นำเงินมาชำระเป็นค่าภาษีโรงเรือนให้แก่เทศบาลแล้วไม่ลงบัญชี กลับยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์อย่างอื่นเสีย ดังนี้ ย่อมเป็นการกระทำในหน้าที่พนักงานผู้เก็บเงินตามหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งและมอบหมาย เมื่อยักยอกเอาเงินที่ได้รับไว้ตามหน้าที่ของจำเลย จำเลยย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำการอันเป็นความผิดต่อหน้าที่ของตน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานเทศบาลวิสามัญประจำเทศบาลเมืองนครราชสีมา ตำแหน่งพนักงานตรวจแผนกคลัง มีหน้าที่สำรวจและเร่งรัดภาษีโรงเรือนรับเงินค่าภาษีโรงเรือนจากผู้ชำระแล้วนำส่งเทศบาล แจ้งรายการประเมินควบคุมคนเก็บเงินค่าเช่าตลาดและค่าหาบเร่ เป็นกรรมการตรวจโคที่จะฆ่าร่วมกับคณะกรรมการของอำเภอ จำเลยรับเงินค่าภาษีโรงเรือนจากผู้ชำระ แล้วจำเลยได้ใช้อำนาจหน้าที่ของจำเลยในทางทุจริตกับปฏิบัติหน้าที่โดยทางมิชอบ เบียดบังเอาเงินที่รับไว้นั้นเป็นของจำเลยเสีย โดยทุจริตทำให้เทศบาลเมืองนครราชสีมา ได้รับความเสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๗, ๑๓
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมาย และไม่มีหน้าที่เก็บภาษี จำเลยเพียงแต่เป็นลูกจ้าง ไม่ได้รับเงินเดือนตามงบประมาณในประเภทเงินเดือน ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินของเทศบาล การเสียภาษีโรงเรือนให้แก่เทศบาลนั้น จะต้องมีการประเมินเสียก่อน คดีนี้เทศบาลยังไม่ได้ประเมิน จำเลยได้รับเงินจากผู้ชำระค่าภาษีไว้เป็นส่วนตัว เพื่อส่งมอบแก่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยต่อไป และจำเลยได้ส่งมอบแล้ว ไม่ได้เบียดบังเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเลย ทั้งจำเลยกระทำไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาด้วย จำเลยไม่มีความผิด และคดีขาดอายุความฟ้องแล้วเทศบาลเมืองนครราชสีมามิใช่ผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยมีหน้าที่เกี่ยวกับภาษีโรงเรือนและรับเงินค่าภาษีโรงเรือนไว้จากผู้ชำระค่าภาษีแล้วไม่นำส่งลงบัญชีของเทศบาลเมืองนครราชสีมายักยอกเอาไปเสีย เทศบาลเมืองนครราชสีมาได้รับความเสียหายและคดีไม่ขาดอายุความ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตราเดียว ให้จำคุก ๕ ปี คำให้การชั้นสอบสวนจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๔,๙๑๐ บาท แก่เทศบาลเมืองนครราชสีมาด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่า เทศบาลเมืองนครราชสีมามิใช่ผู้เสียหาย เพราะปลัดเทศบาลหรือสมุหบัญชีซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่บังคับบัญชาจำเลยโดยตรง มิได้แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยประการหนึ่ง และเงินที่โจทก์ฟ้องหาว่ายักยอกเอาไปนั้น ยังเป็นเงินของนายธนัยและนายพูนสุขผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือนอยู่ และยังมิได้ยื่นประเมินให้เทศบาลเมืองนครราชสีมาเรียกเก็บภาษี เงินนั้นจึงยังไม่ใช่เงินของเทศบาลอีกประการหนึ่ง ฉะนั้น จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ฟ้องร้องจำเลยนั้น ปรากฏว่าเทศบาลประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือน จำเลยรับเงินภาษีโรงเรือนมาแล้วไม่ลงบัญชี กลับยักยอกเอาไปเสียเช่นนี้ เทศบาลย่อมเป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจร้องทุกข์ได้ และผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีก็ย่อมต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓, ๔, ๕, ๖ หาใช่จะต้องร้องทุกข์ได้เฉพาะสมุหบัญชีหรือปลัดเทศบาลเมืองนครราชสีมา ดังจำเลยฎีกาไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า ปลัดเทศบาลและสมุหบัญชีเป็นเจ้าหนักงานเกี่ยวกับภาษี ส่วนจำเลยเป็นเพียงพนักงานวิสามัญ รับเงินเดือนงบประเภทใช้สอย ไม่มีหน้าที่เร่งรัดภาษีโรงเรือน จำเลยจึงมิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมาย เห็นว่า จำเลยเป็นพนักงานวิสามัญ มีหน้าที่ตรวจควบคุมการเก็บเงินตลาดสดและรับงานด้านภาษีโรงเรือนขึ้นต่อแผนกคลังของเทศบาลเมือง จำเลยรับเงินเดือนจากเงินประเภทงบประมาณเงินเดือน ฉะนั้น การที่จำเลยเก็บหรือรับเงินจากผู้ที่นำเงินมาชำระเป็นค่าภาษีโรงเรือนให้แก่เทศบาลแล้วไม่ลงบัญชี กลับยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์อย่างอื่นเสีย ดังนี้ ย่อมเป็นการกระทำในหน้าที่พนักงานผู้เก็บเงินตามหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งและมอบหมาย เมื่อยักยอกเอาเงินที่ได้รับไว้ตามหน้าที่ของจำเลย จำเลยย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำการอันเป็นความผิดต่อหน้าที่ของตน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗ ส่วนฎีกาของจำเลยในข้ออื่น เป็นการฎีกาเถียงข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share