แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
น้ำตาลทรายแดงที่ผลิตขายแก่โรงงานน้ำตาลทรายขาว เป็นสินค้าซึ่งตามสภาพอาจอุปโภคบริโภคได้โดยไม่จำต้องเปลี่ยนหรือดัดแปลงหรือนำไปผสมกับสิ่งอื่น จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูปซึ่งต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 5 ของรายรับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลทรายแดงส่งจำหน่ายแก่โรงงานผลิตน้ำตาลทรายขาว เสียภาษีการค้าร้อยละ ๑.๕ของรายรับ ตามคำแนะนำของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นสรรพากรจังหวัด ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ ๒ มีข้อพิพาทกัน โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๒ จะกลั่นแกล้ง จึงหารือจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นสรรพากรเขต จำเลยที่ ๓ตอบชี้แจงว่าการประกอบการค้าของโจทก์ต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ ๕ของรายรับ แนะนำให้โจทก์ยื่นคำร้องขอเสียภาษีเพิ่มและของดค่าปรับโจทก์หลงเชื่อจึงทำตาม แต่จำเลยที่ ๒ กลับสั่งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่ม๓๗,๓๒๗.๖๖ บาท และปรับอีกหนึ่งเท่ากับให้เสียเงินเพิ่มด้วย ทั้งไม่ยอมงดหรือลดเบี้ยปรับตามระเบียบของอธิบดีกรมสรรพากร ทั้งนี้เป็นกลฉ้อฉลของจำเลยที่ ๓ อุบายแนะนำให้โจทก์เสนอเสียภาษี โจทก์อุทธรณ์ จำเลยที่ ๓, ๔, ๕ ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กลับมีคำสั่งเห็นชอบยืนตาม โจทก์เห็นว่า น้ำตาลทรายแดงที่โจทก์ผลิตมิใช่สินค้าสำเร็จรูป ซึ่งต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ ๕ ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยของจำเลย
จำเลยทั้งห้าต่อสู้ว่า น้ำตาลทรายแดงที่โจทก์ผลิตขายเป็นสินค้าสำเร็จรูปต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ ๕ โจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี จำเลยที่ ๓ มิได้ใช้กลฉ้อฉล โจทก์ไม่มีสิทธิของดหรือลดเบี้ยปรับ และโจทก์ไม่เคยยื่นคำร้องขอ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า น้ำตาลทรายแดงที่โจทก์ผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป ต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ ๕ พฤติการณ์ของโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี คำสั่งของจำเลยที่ ๒ ชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
มีปัญหาตามฎีกาข้อแรกว่า น้ำตาลทรายแดงที่โจทก์ผลิตขายให้แก่โรงงานน้ำตาลทรายขาวเป็นสินค้าสำเร็จรูปอันจะต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ ๑.๕ ของรายรับ
ศาลฎีกาเห็นว่า สินค้าน้ำตาลทรายแดงดังกล่าว โดยสภาพย่อมเป็นสิ่งที่ใช้อุปโภคบริโภคได้ในตัวเอง โดยไม่ต้องนำไปเปลี่ยนหรือดัดแปลงหรือนำไปผสมกับสิ่งอื่น ตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๗ได้บัญญัติไว้ซึ่งโจทก์เองก็ให้ถ้อยคำรับว่า น้ำตาลทรายแดงที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการใช้รับประทานปรุงอาหารและทำขนมได้อยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไรที่โจทก์จะเถียงว่าไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูป
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๓ แนะนำให้โจทก์เสียภาษีที่ไม่ครบเป็นกลฉ้อฉลนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๓ เพียงแต่ตอบข้อถามของโจทก์ไปว่าจะต้องเสียภาษีเพิ่มเท่าใด และจะมีทางเมตตาอย่างไรบ้างเท่านั้น จำเลยที่ ๓ ตอบแนะนำโดยสุจริต มิใช่เป็นกลฉ้อฉลทำให้โจทก์ถูกประเมินเรียกเก็บภาษีและเบี้ยปรับ
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลมีอำนาจงดเว้นหรือลดเบี้ยปรับลงได้ตามระเบียบของจำเลยที่ ๑ ซึ่งวางไว้ตามคำสั่งที่ ๖๑๓๖/๒๕๐๕ นั้นศาลฎีกาเห็นว่าระเบียบนี้เป็นเพียงระเบียบที่ประมวลรัษฎากรมาตรา ๘๙วรรคท้าย บัญญัติให้อธิบดีมีอำนาจที่จะวางระเบียบงดหรือลดเบี้ยปรับลงได้โดยอนุมัติรัฐมนตรี แต่โจทก์ยังมิได้ยื่นคำขออย่างใดจึงยังไม่อาจวินิจฉัยได้ว่า โจทก์จะมีสิทธิได้ลดหรืองดเว้นเบี้ยปรับลงได้อย่างไรบ้าง
พิพากษายืน