แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตามมาตรา 6 ประกอบมาตรา 56 วรรคสอง และมาตรา 56 ทวิ แห่ง ป.รัษฎากรฯ ผู้จัดการคณะบุคคลมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีและครึ่งปีในชื่อของคณะบุคคล เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกตรวจสอบและประเมินภาษีไปยังผู้จัดการคณะบุคคลได้ไม่จำต้องออกหมายเรียกตรวจและประเมินไปยังบุคคลในคณะบุคคลอีกเมื่อผู้จัดการคณะบุคคลได้รับหมายเรียกและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในชื่อของคณะบุคคลแล้ว ก็ถือเป็นการประเมินโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลในคณะบุคคลจะมิได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน ก็ไม่ทำให้การประเมินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตามมาตรา 56 วรรคสอง แห่ง ป.รัษฎากรฯ ถ้าคณะบุคคลมีภาษีค้างชำระ บุคคลในคณะบุคคลทุกคนต้องร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย ฉะนั้น เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง จำเลยจึงอาศัยมาตรา 12 แห่ง ป.รัษฎากรฯ ยึด อายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของบุคคลในคณะบุคคลได้ เมื่อโจทก์เป็นบุคคลในคณะบุคคลซึ่งค้างชำระภาษีอากร จำเลยจึงมีอำนาจ ยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบอาชีพเป็นผู้สอบบัญชี รับตรวจสอบและรับรองบัญชีของห้างหุ้นส่วนบริษัททั่วไป และรับจ้างสำนักงานพีซีซีและเพื่อนตรวจสอบบัญชีให้แก่ลูกค้า โดยมิได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนแต่อย่างใด จำเลยมีฐานะเป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอากร ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 144869 เลขที่ดิน 83 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 43 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และให้ยกเลิกการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และเพิกถอนการอายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาราชดำเนิน ประเภทบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ บัญชีเลขที่ 002 – 2 – 07447 – 0 บัญชีเงินฝากกระแสรายวันบัญชีเลขที่ 002 – 1 -02496 – 3 บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาตะนาว ประเภทเงินฝากกระแสรายวัน บัญชีเลขที่ 111 – 3 – 05622 – 8 และหรือบัญชีอื่นใดที่มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของหรือเจ้าของร่วมกับเพิกถอนการอายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบางซื่อ ประเภทเงินฝากประจำบัญชีเลขที่ 132 – 2 – 32347 – 6 และหรือบัญชีอื่นใดที่มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของหรือเจ้าของร่วม
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของโจทก์มีว่า โจทก์เป็นบุคคลในคณะบุคคลสำนักงานพีซีซีและเพื่อหรือไม่ เห็นว่า นางสาวสุภาพร กาญจนเทียนทิพย์ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า โจทก์ได้ร่วมกันกับเพื่อนอีกคนหนึ่งไม่ทราบชื่อจัดตั้งคณะบุคคลรับจ้างสอบบัญชีและยื่นแบบแสดงรายการในนามคณะบุคคล นายประวิทย์ วณิชชานนท์ ก็ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานประเมิน ทั้งในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์และผู้จัดการสำนักงานพีซีซีและเพื่อนว่า สำนักงานพีซีซีและเพื่อนจัดตั้งขึ้นโดยคณะบุคคลประกอบด้วยโจทก์และนายประวิทย์เพื่อรับจ้างสอบบัญชีโดยมีนายประวิทย์เป็นผู้จัดการคณะบุคคล นอกจากนี้โจทก์ก็เคยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า โจทก์และนายประวิทย์ได้ร่วมกันจัดตั้งคณะบุคคลสำนักงานพีซีซีและเพื่อนประกอบธุรกิจรับจ้างสอบบัญชี ปรากฏตามคำให้การที่โจทก์อ้างว่านางสาวสุภาพรและนายประวิทย์ให้การเท็จและชักจูงหลอกลวงโจทก์ไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานประเมินว่าโจทก์เป็นหุ้นส่วนในสำนักงานพีซีซีและเพื่อนความจริงโจทก์มิได้เป็นหุ้นส่วน โจทก์เพียงแต่รับจ้างสำนักงานดังกล่าวรับสอบบัญชีเท่านั้น โจทก์คงมีแต่คำเบิกความลอยๆ ของโจทก์เท่านั้น โจทก์หามีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลในคณะบุคคลสำนักงานพีซีซีและเพื่อนอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อต่อไปของโจทก์มีว่า โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2536 ครึ่งปี และเต็มปีในฐานะบุคคลในคณะบุคคลสำนักงานพีซีซีและเพื่อนหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 6 ประกอบมาตรา 56 วรรคสอง และมาตรา 56 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จัดการคณะบุคคลมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีและครึ่งปีในชื่อของคณะบุคคล เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกตรวจสอบและประเมินภาษีไปยังผู้จัดการคณะบุคคลได้ไม่จำต้องออกหมายเรียกตรวจสอบและประเมินไปยังบุคคลในคณะบุคคลอีก เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายประวิทย์ วณิชชานนท์ผู้จัดการคณะบุคคลสำนักงานพีซีซีและเพื่อนได้รับหมายเรียกและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในชื่อของคณะบุคคลสำนักงานดังกล่าวแล้วก็ถือเป็นการประเมินโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลในคณะบุคคลจะมิได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน ก็ไม่ทำให้การประเมินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยมีอำนาจยึด อายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ถ้าคณะบุคคลมีภาษีค้างชำระ บุคคลในคณะบุคคลทุกคนต้องร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย ฉะนั้น เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง จำเลยจึงอาศัยมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของบุคคลในคณะบุคคลได้ เมื่อโจทก์เป็นบุคคลในคณะบุคคลสำนักงานพีซีซีและเพื่อนซึ่งค้างชำระภาษีอากร จำเลยจึงมีอำนาจยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ได้การยึด อายัด และขายทอดตลาดของจำเลยชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน