แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นตำรวจได้จับกุมผู้เสียหายในข้อหาเล่นการพนันสลากกินรวบ จำเลยที่ 1 เป็นตำรวจประจำสถานีเดียวกันแต่ไม่ได้ร่วมจับกุมและมิใช่พนักงานสอบสวนได้เรียกเงินจากผู้เสียหายกับพวก นำไปให้จำเลยที่ 2 เพื่อให้ปล่อยผู้เสียหายไป และจำเลยที่ 2 ได้รับเงินจากฝ่ายผู้เสียหายแล้วได้ปล่อยตัวผู้เสียหายไปไม่ดำเนินคดีตามกฎหมาย อันเป็นการกระทำโดยมิชอบต่อหน้าที่ แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับคดีที่จำเลยที่ 2 จับกุมผู้เสียหายมาโดยตรง จึงเป็นเรื่องปฏิบัตินอกหน้าที่ ถือได้ว่าเป็นเพียงการสนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ของจำเลยที่ 2 เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๓ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลลาดกระบังกับพวกอีกหลายคนได้เข้าทำการตรวจค้นบ้าน นางเนียน ชื่นชม ขณะตรวจค้นจำเลยที่ ๒ ได้ลักเงินจำนวน ๕๐๐ บาทของนายชวลิต บัวม่วง ผู้เสียหายไปโดยทุจริตและได้จับกุมผู้เสียหายไปดำเนินคดีในข้อหาเล่นการพนันสลากกินรวบแล้วจำเลยที่ ๑ ได้เรียกเอาเงิน ๘,๐๐๐ บาท จากนางเนียรญาติของผู้เสียหาย สำหรับตนเองและจำเลยที่ ๒ กับพวก เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจจำเลยที่ ๒ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจดังกล่าว ผู้จับกุมผู้เสียหายเพื่อให้จำเลยที่ ๒ ไม่ดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายโดยใช้อิทธิพลของตนโดยผิดกฎหมายให้จำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่ อันเป็นคุณแก่ผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ ๒ ได้รับเงินจากนางเนียมกับพวกตามที่จำเลยที่ ๑ ได้เรียกร้อง แล้วได้ปล่อยตัวและไม่ดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกรมตำรวจ เหตุเกิดที่แขวงคลองสามประเวศ และแขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔, ๑๔๓, ๑๔๙, ๑๕๗, ๙๑ และให้จำเลยที่ ๒ คืนเงิน ๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๖ ปี และจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ จำคุก ๖ เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๖ ปี ๖ เดือน ให้จำเลยที่ ๒ คืนเงิน ๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายนางทองใส บัวม่วง ภริยาผู้เสียหาย นางเนียน ชื่นชม มารดาของนางทองใส และสิบตำรวจตรีณรงค์ ชื่นใจ พยานโจทก์ ใจความส่วนใหญ่ตรงกันว่า หลังจากจำเลยที่ ๒ กับพวกค้นร้านผู้เสียหายทั้งชั้นล่างและชั้นบนไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายแล้วจำเลยที่ ๒ ได้หยิบเอาถุงใส่เงินซึ่งว่างอยู่ที่ตู้กาแฟหน้าร้านซึ่งมีเงินบรรจุอยู่ประมาณ ๕๐๐ บาทไป ต่อมาสิบตำรวจตรีณรงค์ค้นพบกระดาษโพยสลากกินรวบในกระบอกไม้ไผ่ที่ชายคากระต๊อบบริเวณหลังร้านจำเลยที่ ๑ จึงเอาไปให้พลตำรวจวันชัยนำไปมอบให้จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ พูดว่าหลักฐานเท่านี้พอแล้วพร้อมกับชูกระดาษดังกล่าวและถุงใส่เงินของผู้เสียหายจากนั้นจำเลยที่ ๒ ก็สั่งให้พวกคุมตัวผู้เสียหายไปสถานีตำรวจโดยจำเลยที่ ๒ กับพวกนั่งรถยนต์ของทางราชการล่วงหน้าไปก่อน ผู้เสียหายขับรถยนต์ของตนตามไปโดยมีจ่าสิบตำรวจไพรัตน์นั่งคุมตัวผู้เสียหายและมีนางเนียนกับนางทองใสนั่งไปด้วย ระหว่างทางจ่าสิบตำรวจไพรัตน์พูดว่าจำลายมือชื่อที่เขียนในโพยสลากกินรวบได้ว่าเป็นลายมือชื่อของนางสำลี แจ่มจันทร์ หลานของนางเนียน ให้นางเนียนจัดการให้เรียบร้อย มิฉะนั้นจะต้องขึ้นศาลและพิสูจน์ลายมือ นางเนียนพูดว่าไม่รู้จะจัดการอย่างไรเพราะไม่รู้จักใคร รู้จักแต่จำเลยที่ ๑ จ่าสิบตำรวจไพรัตน์บอกให้ไปพูดกับจำเลยที่ ๑ เมื่อไปถึงสถานีตำรวจพบจำเลยที่ ๑ เดินออกมาจากห้องทำงาน นางเนียน นางทองใสและผู้เสียหายจึงเข้าไปหา จำเลยที่ ๑ พาเข้าไปในห้องทำงาน นางเนียนได้เล่าเรื่องให้ฟัง จำเลยที่ ๑ พูดว่าไหน ๆ ก็เป็นไปแล้วต้องเสียเงินให้เขาบ้าง นางเนียนพูดว่าจะยอมเสียเงินสัก ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ บาท เพื่อให้เรื่องเสร็จไป จำเลยที่ ๑ พูดว่า ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ บาท เป็นไปไม่ได้ นางเนียนถามว่าเท่าไร จำเลยที่ ๑ ตอบว่าต้องเป็นแถว นางเนียนไม่เข้าใจ จำเลยที่ ๑ พูดว่าอย่างต่ำต้อง๑๐,๐๐๐ บาท นางเนียนขอผัดไปหาเงินก่อน แต่จำเลยที่ ๑ พูดว่าต้องเอามาให้ขณะนั้น นางเนียนกับนางทองใสจึงกลับไปบ้านและหาเงินมาได้ ๘,๐๐๐ บาท แล้วกลับไปที่สถานีตำรวจโดยมีนายชาญ แจ่มจันทร์ สามีของนางสำลีซึ่งทราบเรื่องไปด้วย เหตุการณ์ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป โจทก์มีนายชาญมาเบิกความยืนยันประกอบด้วย เมื่อไปถึงสถานีตำรวจนางเนียนบอกจำเลยที่ ๑ ว่าหาเงินมาได้เพียง ๘,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ให้คนไปตามจำเลยที่ ๒ มาพูดกันสองต่อสองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ แล้วจำเลยที่ ๒ ได้พยักหน้ากับพวกผู้เสียหาย นางเนียนจึงนำห่อเงินไปวางไว้ในห้องทำงานของจำเลยที่ ๑ ต่อหน้าจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ บอกให้นายชาญนำห่อเงินไปให้จำเลยที่ ๒ นายชาญจึงนำห่อเงินไปวางไว้ใต้เครื่องพิมพ์ดีดบนโต๊ะทำงานของจำเลยที่ ๒ ขณะจำเลยที่ ๒ ยืนอยู่หน้าห้องแล้วบอกให้จำเลยที่ ๒ ทราบ จากนั้นนายชาญก็กลับไปที่ห้องทำงานของจำเลยที่ ๑ และบอกจำเลยที่ ๑ ว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ ๒ ได้ออกมาบอกผู้เสียหายกับพวกให้กลับบ้านได้ ศาลฎีกาเห็นว่าพยานโจทก์มั่นคงเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยที่ ๒ ได้จับกุมผู้เสียหายไปในข้อหาเล่นการพนันสลากกินรวบ จำเลยที่ ๑ ได้เรียกเงินจากผู้เสียหายกับพวกนำไปให้จำเลยที่ ๒ เพื่อให้ปล่อยตัวผู้เสียหายไป และจำเลยที่ ๒ ได้รับเงินจากฝ่ายผู้เสียหายแล้วได้ปล่อยตัวผู้เสียหายไปไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายอันเป็นการกระทำโดยมิชอบต่อหน้าที่ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับคดีที่จำเลยที่ ๒ จับกุมผู้เสียหายมาโดยตรง จึงเป็นเรื่องปฏิบัตินอกหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ย่อมถือได้ว่าเป็นเพียงการสนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๙ ของจำเลยที่ ๒ เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานเป็นตัวการ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ ประกอบด้วยมาตรา ๘๖ ให้จำคุก ๔ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์