คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3479/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสี่นำสืบยอมรับว่าถูกจับกุมในห้องเช่าที่เกิดเหตุและเจ้าพนักงานตำรวจได้เมทแอมเฟตามีนเป็นของกลางจริง แม้จะปรากฏว่าห้องเช่าดังกล่าวเลขที่ 82/16 ไม่ใช่เลขที่ 105 ตามที่ระบุในหมายค้น แต่ตามหมายค้นดังกล่าวได้ระบุเหตุที่ขอออกหมายค้นว่า การสืบสวนทราบว่าที่บ้านจำเลยที่ 1 เลขที่ 105 ห้องเช่า มียาเสพติดให้โทษซุกซ่อนอยู่ในบ้านหรือบริเวณบ้านจึงขอให้ศาลออกหมายค้น โดยระบุชื่อและนามสกุลจำเลยที่ 1 ไว้ถูกต้องและร้อยตำรวจโท บ. ผู้จับกุมซึ่งเป็นผู้ขอออกหมายค้นดังกล่าวก็เบิกความระบุสาเหตุที่ระบุเลขที่บ้านในหมายค้นว่าบ้านเลขที่ 105 เพราะสายลับระบุเช่นนั้น เมื่อเข้าจับกุมจึงปรากฏว่าเป็นบ้านเลขที่ 82/16 จึงเป็นการขอออกหมายค้นเพื่อตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 การระบุเลขที่บ้านผิดไม่ทำให้การตรวจค้นจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ การตรวจค้นโดยมีหมายค้นกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคสอง, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต ริบของกลาง ยกเว้นเงินจำนวน 5,450 บาท ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยว่า การตรวจค้นจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในห้องเช่าซึ่งเกิดเหตุชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันตามลำดับเหตุการณ์ที่จับกุมจำเลยทั้งสี่ได้ จ่าสิบตำรวจพนมศิลป์และร้อยตำรวจโทบุญญาภิวัฒน์เป็นผู้จับกุมจำเลยทั้งสี่ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางและของกลางอื่นในห้องเช่าเกิดเหตุ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ก็นำสืบยอมรับว่าถูกจับกุมในห้องเช่าเกิดเหตุและเจ้าพนักงานตรวจได้เมทแอมเฟตามีนเป็นของกลางจริง แม้จะปรากฏว่าห้องเช่าดังกล่าวเลขที่ 82/16 ไม่ใช่เลขที่ 105 ตามที่ระบุในหมายค้นเอกสารหมาย จ.1 แต่ตามหมายค้นดังกล่าวได้ระบุเหตุที่ขอออกหมายค้นว่าการสืบสวนทราบว่าที่บ้านจำเลยที่ 1 เลขที่ 105 ห้องเช่า มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ซุกซ่อนอยู่ในบ้านหรือบริเวณบ้านจึงขอให้ศาลออกหมายค้น โดยระบุชื่อและนามสกุลจำเลยที่ 1 ไว้ถูกต้อง และร้อยตำรวจโทบุญญาภิวัฒน์ ผู้จับกุมซึ่งเป็นผู้ขอออกหมายค้นดังกล่าวก็เบิกความระบุสาเหตุที่ระบุเลขที่บ้านในหมายค้นว่าบ้านเลขที่ 105 เพราะสายลับระบุเช่นนั้น เมื่อเข้าจับกุมจึงปรากฏว่าเป็นเลขที่บ้าน 82/16 ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นการขอออกหมายค้นเพื่อตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 การระบุเลขที่บ้านผิดจึงไม่ทำให้การตรวจค้นจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวเป็นการไม่ชอบตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกา การตรวจค้นโดยมีหมายค้นกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว…
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน โดยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาตรา 15 วรรคสาม (2) ที่แก้ไขใหม่ แตกต่างจากกฎหมายเดิมในมาตรา 15 วรรคสอง เดิม เงื่อนไขที่เป็นองค์ประกอบความผิดดังกล่าวตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ จึงต้องใช้กฎหมายเดิมในส่วนที่เป็นบทความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสี่ สำหรับคดีนี้เมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 9.755 กรัม ซึ่งไม่เกิน 20 กรัม กรณีโทษจำคุกต้องด้วยบทกำหนดโทษในมาตรา 66 วรรคสอง ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นคุณมากกว่ามาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายเดิม จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและปรับบทลงโทษให้ถูกต้องและเหมาะสมตามกฎหมาย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ลดมาตราส่วนให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว คงจำคุกคนละ 5 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share