แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ประกันภัยทั้งรถยนต์บรรทุกและรถพ่วง ไว้แก่โจทก์ มีทุนประกันคันละ 500,000 บาท รวมเป็นเงิน1,000,000 บาท ซึ่งเกินจากวงเงินที่โจทก์ที่ได้ชดใช้ให้แก่ผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันที่ถูกเพลิงไหม้เสียหายจำเลยจงไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินแก่โจทก์นั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ดังนั้นแม้จำเลยจะนำสืบต่อสู้คดีในทำนองดังกล่าว ก็เป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็นข้อพิพาท รับฟังไม่ได้ แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2535 เวลาประมาณ10 นาฬิกา นายชอิ้ง สายทองแก้ว ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน80-6344 สงขลา และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 80-6345 สงขลาในทางการที่จ้างของจำเลยไปตามถนนเพชรเกษมด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับหลบรถตักดินซึ่งจอดอยู่ริมถนน โดยแล่นล้ำเข้าไปในช่องเดินรถสวนในขณะที่รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลา แล่นสวนมาในระยะกระชั้นชิดเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกคันที่นายชอิ้งขับพุ่งเข้าชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลา ซึ่งแล่นทางมาตามปกติ ทำให้รถยนต์คันดังกล่าวเสียหลักตกข้างทางและเกิดเพลิงลุกไหม้เสียหายทั้งคัน เนื่องจากรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลา โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายใช้การไม่ได้และไม่สามารถซ่อมแซมให้คืนสภาพเดิมได้ โจทก์จึงคืนทุนประเภทให้แก่เจ้าของรถยนต์เป็นเงินจำนวน 800,000 บาท สำหรับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน80-6344 สงขลา และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 80-6345 สงขลาโจทก์รับประกันภัยไว้ด้วย ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามจำเลย จำนวน 500,000 บาท โจทก์ขายซากรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลาไปจำนวน 80,000 บาท เมื่อหักแล้วจำเลยยังคงต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 220,000 บาท แก่โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลาแต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 220,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์แล้วเสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องจำนวน 1,343 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลา เหตุเฉี่ยวชนเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน70-0494 ยะลา แต่ฝ่ายเดียว โดยผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวขับมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและบรรทุกถ่านไม้ซึ่งเป็นวัตถุที่ติดไฟง่ายมาเต็มคันรถ ซึ่งเมื่อใกล้จะถึงบริเวณที่เกิดเหตุมีรถตัดหญ้าของกรมทางหลวงทำงานอยู่บริเวณไหล่ถนนนายชอิ้งขับรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงของจำเลยมาถึงบริเวณดังกล่าวก่อน ซึ่งผู้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลาเห็นแล้ว แต่มิได้ชะลอความเร็วลงโดยให้รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-6344 สงขลา และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน80-6345 สงขลา ขับผ่านรถตัดหญ้าไปก่อนแต่กลับเร่งความเร็วรถขึ้นเป็นเหตุให้รถยนต์ชนกัน และเป็นเหตุให้นายชอิ้งผู้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-6344 สงขลา ถึงแก่ความตายความเสียหายของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลาที่เกิดเพลิงไหม้ทั้งคันมิใช่ผลโดยตรงจากการชนในครั้งนี้ แต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างโจทก์ที่ไม่รีบขนย้ายถ่านไม้ออกจากรถยนต์ให้หมดทั้งที่สามารถกระทำได้ รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลา หากไม่เกิดเพลิงไหม้ทั้งคันค่าซ่อมแซมไม่เกิน 100,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 220,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 กันยายน 2535เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์แล้วเสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 1,343 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0494 ยะลา ถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งคัน เพราะการกระทำละเมิดของลูกจ้างจำเลยส่วนที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้จำเลยได้ประกันภัยทั้งรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-6344 สงขลา และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 80-6345 สงขลา ไว้แก่โจทก์ ซึ่งมีทุนประกันคันละ 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,000,000 บาท ซึ่งเกินจากวงเงินที่โจทก์ที่ได้ชดใช้ให้แก่นายเชี้ยงผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันที่ถูกเพลิงไหม้เสียหายจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินแก่โจทก์แต่อย่างใดนั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ดังนั้นแม้จำเลยจะนำสืบต่อสู้คดีในทำนองดังกล่าว ก็เป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็นข้อพิพาทรับฟังไม่ได้ แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน