คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6257/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับมารดาโจทก์ทั้งสองเพื่อปลูกบ้านตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 โดยมีคำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 63/1 การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยมิใช่เจ้าของบ้านเลขที่ 63/1ความจริงแล้วที่ดินพิพาทและบ้านดังกล่าวเป็นของ จ.จำเลยเป็นเพียงผู้อาศัย จ. อยู่เท่านั้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยก็คือ บ้านเลขที่ 63/1 หลังนี้เป็นของจำเลยหรือไม่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าบ้านเลขที่ 63/1 ไม่ใช่บ้าน ของจำเลยแต่เป็นบ้านของจ. ที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่ก่อนที่จะทำหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 และจำเลยเป็นผู้อาศัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ จำเลยให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 63/1 ออกจากที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6185 โดยได้รับโอนมาจากนางเชยมารดาโจทก์เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2532 จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 30 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 6185กับมารดาโจทก์เพื่อปลูกบ้านมีกำหนด 1 ปี อัตราค่าเช่าปีละ 50 บาทหลังจากครบกำหนดสัญญาเช่าโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยอีกต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 63/1 ออกจากที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง หากจำเลยไม่รื้อถอนขอให้โจทก์รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในอัตราเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนย้ายบ้านออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ใช่เจ้าของบ้านพิพาทและไม่เคยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาท ความจริงแล้วที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของนางเจี่ยง สฤษดิ์ไพศาล จำเลยอาศัยสิทธิของนางเจี่ยงอยู่ในที่ดินพิพาท โจทก์ใช้อุบายพูดจาให้จำเลยร่วมมือกับโจทก์ทำสัญญาเช่าเพื่อนำมาฟ้องขับไล่นางเจี่ยงออกจากที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6185 และให้จำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายบ้านเลขที่ 63/1 ออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินพิพาทจึงไม่ชอบ สำหรับปัญหาว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวน และฟังว่าบ้านเลขที่ 63/1 เป็นของนางเจี่ยง จำเลยได้รับอนุญาตจากนางเจี่ยงให้อยู่อาศัยในบ้านดังกล่าวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทโดยชอบ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อที่หนึ่งที่ว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินแปลงพิพาทหรือไม่นั้น โดยที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับมารดาโจทก์ทั้งสองเพื่อปลูกบ้านตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมายจ.2 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 63/1หมู่ที่ 5 ตำบลตะปอน อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ประกอบกับในหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 1 ระบุถึงบ้านเลขที่ 63/1เช่นกัน กรณีเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากมารดาโจทก์เพื่อใช้ปลูกบ้านอาศัย บ้านของจำเลยดังกล่าวคือบ้านเลขที่ 63/1นั่นเอง ด้วยเหตุนี้จำเลยจึงให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยมิใช่เจ้าของบ้านเลขที่ 63/1 หมู่ที่ 5ตำบลตะปอน อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ความจริงแล้วที่ดินพิพาทและบ้านดังกล่าวเป็นของนางเจี่ยง สฤษดิ์ไพศาลจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยนางเจี่ยงอยู่เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ประกอบกับโจทก์ขอให้จำเลยรื้อบ้านดังกล่าวไปด้วย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยก็คือ บ้านเลขที่ 63/1 หลังนี้เป็นของจำเลยหรือไม่เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบของทั้งสองฝ่ายฟังเป็นยุติได้ว่าบ้านเลขที่ 63/1 หมู่ที่ 5 ตำบลตะบอน อำเภอขลุงจังหวัดจันทบุรี ไม่ใช่บ้านของจำเลยแต่เป็นบ้านของนางเจี่ยงที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่ก่อนที่จะทำหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 และจำเลยเป็นผู้อาศัยนางเจี่ยงโดยชอบมาก่อนแล้วเช่นนี้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 63/1 ออกจากที่ดินพิพาทและต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี
พิพากษายืน

Share