แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเมทแอมเฟตามีน 3,985 เม็ด ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าเมทแอมเฟตามีน 3,985 เม็ดมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด และจะคำนวณตามรายงานการตรวจพิสูจน์เทียบเคียงว่า เมทแอมเฟตามีน 5,185 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 142.226 กรัม เมทแอมเฟตามีน 3,985 เม็ด จึงคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินกว่า 20 กรัม หาได้ไม่ ต้องถือว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่ปรากฏว่ามีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ต้องด้วยบทกำหนดโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 66 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 10 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหามีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคสอง), 66 วรรคสอง พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสอง จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จำคุกคนละตลอดชีวิต เนื่องจากจำเลยที่ 3 ที่ 4 ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 ที่ 4 ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้อีกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 ฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 1 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหานี้เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง จำคุก 15 วัน รวมโทษจำเลยที่ 1 ทุกกระทงแล้ว เป็นจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ให้ริบเมทแอมเฟตามีน รถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน หมายเลขทะเบียน บฉ 3163 พิษณุโลก รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน บท 5520 เพชรบูรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่และกระเป๋ามีหูหิ้วของกลาง ส่วนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ หมายเลขทะเบียน กนษ พิจิตร 871 กระเป๋าสตางค์หนังสีดำ และเงินสด 7,200 บาท ให้คืนแก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4
โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 6 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลางทั้งสองคันกับโทรศัพท์เคลื่อนที่และให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว สำหรับความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับในอนุญาต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คดีคงขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ในส่วนนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่โต้แย้งฎีกาว่าจำเลยที่ 3 เป็นสามีของจำเลยที่ 4 โดยทั้งสองรับราชการเป็นครู ตามวันเวลาและสถานที่ เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสี่ได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 5,185 เม็ด กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 3 นัด กระเป๋าหูหิ้วสีเขียว 1 ใบ ที่รัดผมผู้หญิงสีดำ 1 อัน โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกีย 2 เครื่อง รถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสันหมายเลขทะเบียน บฉ 3163 พิษณุโลก รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน บท 5520 เพชรบูรณ์ และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ หมายเลขทะเบียน กนษ พิจิตร 871 กับกระเป๋าสตางค์หนังสีดำ 1 ใบพร้อมเงิน 7,200 บาท เป็นของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ ในส่วนนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ให้ริบแมทแอมเฟตามีน รถยนต์กระบะ โทรศัพท์เคลื่อนที่และกระเป๋าหู้หิ้วของกลาง ส่วนรถจักรยานยนต์ กระเป๋าสตางค์หนังสีดำและเงินสด 7,200 บาท ให้คืนแก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 6 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลางทั้งสองคันกับโทรศัพท์เคลื่อนที่และให้คืนเจ้าของ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นอันถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสองแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 3,985 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีสิบตำรวจโทปริญญาเบิกความว่า หลังจากวางแผนจับกุมแล้วพยานไปซุ่มอยู่ที่บริเวณบ่อน้ำหลังบ้านเกิดเหตุ ก่อนจับกุมพยานเห็นรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 นั่งขับเข้ามาจอดที่บริเวณหลังบ้านเกิดเหตุ แล้วจำเลยที่ 3 และที่ 4 ลงจากรถเดินไปที่บ้านเกิดเหตุ โดยจำเลยที่ 4 ถือกระเป๋าพลาสติกแบบมีหูหิ้วไปด้วย ต่อมาเมื่อพันตำรวจตรีเข็มชาติ นำหมายค้นของศาลชั้นต้นมาถึงบ้านเกิดเหตุ พันตำรวจตรีเข็มชาติและพยานกับพวกจึงเข้าไปในบ้านเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ซึ่งนั่งล้อมวงกันอยู่กลางบ้านได้แยกย้ายกันวิ่งหนีโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 วิ่งไปทางหลังบ้าน ส่วนจำเลยที่ 4 ถือกระเป๋าวิ่งเข้าไปในห้องน้ำภายในห้องนอนซึ่งจำเลยที่ 3 นอนอยู่ แล้วจำเลยที่ 4 พยายามกดกระเป๋าหูหิ้วดังกล่าวให้จมน้ำในถังน้ำ พยานตามเข้าไปแย่งกระเป๋าหูหิ้วจากจำเลยที่ 4 แล้วเทน้ำออกตรวจดูพบเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีฟ้าซุกซ่อนอยู่ในกล่องนมยี่ห้อแลคตาซอยจำนวน 3 กล่อง และกล่องนมยี่ห้อดัชมิลล์อีก 1 กล่องตรวจนับได้ 3,985 เม็ด พยานกับพวกจึงจับกุมจำเลยทั้งสี่โดยแจ้งข้อหาว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพว่ารับจ้างขนเมทแอมเฟตามีนจำนวน 3,985 เม็ด ของกลางจากอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 4 จะให้การปฏิเสธ แต่จากพฤติการณ์ของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยที่ 4 รู้ว่าสิ่งของที่ใส่อยู่ในกระเป๋าหูหิ้วเป็นเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจึงพยายามหลบหนีและทำลายเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อมิให้มีพยานหลักฐานที่จะดำเนินคดีจำเลยที่ 4 กับพวกได้ ทั้งจำเลยที่ 3 เป็นสามีจำเลยที่ 4 เดินทางไปบ้านเกิดเหตุด้วยกัน ประกอบกับเมื่อถูกจับกุมจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ และชั้นสอบสวนก็ให้การรับสารภาพทั้งพาพนักงานสอบสวนไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและถ่ายรูปไว้ตามบันทึกการจับกุม บันทึกคำให้การของผู้ต้องหา บันทึกและภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งเป็นการให้การทันทีหลังถูกจับกุม จำเลยที่ 3 ไม่มีโอกาสแต่งเติมบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ต่างไปเชื่อว่าเป็นการให้การตามความจริง ขณะเกิดเหตุแม้เป็นเวลากลางคืนแต่ภายในบ้านก็มีแสงไฟฟ้าส่องสว่างเพราะขณะเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 นั่งล้อมวงอยู่ที่กลางบ้านพยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่และไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 3 และที่ 4 เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็นส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าเหตุที่จำเลยที่ 3 ยอมรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเพราะหลงเชื่อตามคำเกลี้ยกล่อมของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 มีอายุ 44 ปี และรับราชการเป็นครู เป็นผู้ที่พร้อมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ ทั้งความผิดที่ถูกจับกุมกล่าวหาเป็นความผิดอาญาที่มีโทษร้ายแรง หากจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำความผิดย่อมเป็นการยากที่วิญญูชนเยี่ยงจำเลยที่ 3 จะยอมรับสารภาพ ข้ออ้างของจำเลยที่ 3 จึงขัดต่อเหตุผลความเป็นจริง และที่จำเลยที่ 3 อ้างว่า ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับพาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจบังคับขู่เข็ญนั้น จำเลยที่ 3 เพิ่งยกขึ้นอ้างในฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 มิได้ยกข้ออ้างนี้ถามค้านพยานผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด พยานโจทก์ที่เกี่ยวข้องจึงไม่มีโอกาสชี้แจงหรือโต้แย้งคัดค้านได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างเพียงฝ่ายเดียวไม่มีน้ำหนักรับฟัง สำหรับจำเลยที่ 4 ที่อ้างว่า ขณะวิ่งหลบหนีจำเลยที่ 4 วิ่งตามจำเลยที่ 1 ไปทางหลังบ้านไม่ได้วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ และขณะวิ่งหนีจำเลยที่ 4 ไม่ได้ถือกระเป๋าหรือวัตถุสิ่งใดติดมือไปด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 4 มีเพียงตัวจำเลยที่ 4 เป็นพยานเบิกความ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน และตามบันทึกการจับกุมซึ่งจำเลยที่ 4 ลงลายมือชื่อรับรองว่าถูกต้อง จำเลยที่ 4 กลับให้การว่าจำเลยที่ 4 หิ้วกระเป๋าของกลางหลบหนีเข้าไปในห้องน้ำและนำกระเป๋าดังกล่าวทิ้งลงไปในถังซึ่งมีน้ำ ขัดแย้งกับข้ออ้างของจำเลยที่ 4 ข้ออ้างของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันมีแมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ส่วนที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางทั้งสองคันแก่เจ้าของ ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้วินิจฉัยให้คืนรถยนต์ของกลางทั้งสองคันแก่เจ้าของนั้น เห็นว่า เป็นข้อผิดหลง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง สำหรับข้ออ้างอื่นในฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นข้อปลีกย่อยและไม่มีผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังขึ้นบางส่วน อย่างไรก็ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าเมทแอมเฟตามีน 3,985 เม็ด ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีจำนวนเกินกว่าที่จะมีไว้เพื่อเสพเอง หากคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ก็เชื่อว่ามีปริมาณเกินกว่า 20 กรัม นั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเมทแอมเฟตามีน 3,985 เม็ด ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ก็เชื่อว่ามีปริมาณเกินกว่า 20 กรัม นั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเมทแอมเฟตามีน 3,985 เม็ด ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าเมทแอมเฟตามีน 3,985 เม็ด มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด และจะคำนวณตามรายงานการตรวจพิสูจน์เทียบเคียงว่า เมทแอมเฟตามีน 5,185 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 142,226 กรัม เมทแอมเฟตามีน 3,985 เม็ด จึงคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินกว่า 20 กรัม หาได้ไม่ต้องถือว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ปรากฏว่ามีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ต้องด้วยบทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง แต่ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และใช้ข้อความใหม่แทน โดยมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 15 ปี แตกต่างจากมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายเดิม ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี แตกต่างจากมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายเดิม ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายรวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นข้าราชการต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 ลงโทษจำคุกคนละ 45 ปี จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 30 ปี ให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 1 และให้คืนรถยนต์กระบะทั้งสองคันของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6