คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6255/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1668/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 1846/2546 ของศาลชั้นต้น เป็นข้อเท็จจริงต่างหากจากข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิด และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏ คดีนี้ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเพียงว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องเท่านั้น มิได้ให้การรับด้วยว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ โจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้ปรากฏเช่นนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 336, 336 ทวิ และให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 40 บาท และกระเป๋าสะพายหรือใช้ราคาทรัยพ์รวมจำนวน 99 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย กับนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1668/2546 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 แม้จำเลยทั้งสองอายุไม่เกิน 20 ปี แต่จากพฤติการณ์แห่งคดีและจากการสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสองประกอบกับจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดในฐานความผิดในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อน และจำเลยทั้งสองรู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว จึงไม่อาจลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 โดยให้จำคุกคนละ 6 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 40 บาท กระเป๋าสะพายหรือใช้ราคาทรัพย์รวม 99 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าของ นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1668/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 1846/2546 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ไม่นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1668/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 1846/2546 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่นับโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1668/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 1846/2546 ของศาลชั้นต้นนั้นชอบหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ส่วนของคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้นับโทษต่อนั้นเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโจทก์ได้ระบุชัดว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ และคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 1 ได้รับทราบรายละเอียดของคำฟ้องและคำขอ และได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องคดีนี้โดยมิได้โต้แย้งคัดค้าน ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ว่า ได้กระทำความผิดตามฟ้องและเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษโดยไม่ต้องสืบพยานพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามฟ้องอีกนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1668/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 1846/2546 ของศาลชั้นต้น เป็นข้อเท็จจริงที่ต่างหากจากข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิด และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏคดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเพียงว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องเท่านั้น มิได้ให้การรับด้วยว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้ปรากฏเช่นนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share