คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อสัญญาเช่าซื้อครบกำหนดแล้ว ผู้ร้องยังคงให้ผู้เช่าซื้อครอบครองใช้รถที่เช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลาถึง 2 ปีเศษ โดยมิได้บอกเลิกสัญญา แต่ยังรับผ่อนชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ตลอดมา ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องยินยอมให้ผู้เช่าซื้อครอบครองใช้รถเพื่อให้ผู้ร้องยังคงได้รับชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างนั่นเอง ต่อเมื่อผู้ร้องทราบว่ารถที่เช่าซื้อถูกริบในคดีนี้จึงบอกเลิกสัญญาแก่ผู้เช่าซื้อ ซึ่งผู้ร้องสามารถใช้สิทธิทางศาลเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนที่ขาดประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้อได้ แต่กลับมาใช้สิทธิในการเรียกร้องทรัพย์ที่ถูกริบในคดีในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์แทน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้เห็นได้ว่าผู้ร้องมุ่งประโยชน์จากการได้รับชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจากผู้เช่าซื้อมากกว่าถือปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ผู้ให้เช่าซื้อ การร้องขอคืนของกลางของผู้ร้องในคดีนี้จึงมีลักษณะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 61, 73 จำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษ 1 ปี ริบของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70 – 2572 เพชรบุรี ของกลาง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบในคดีดังกล่าว และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่จำเลยกระทำความผิดขอให้สั่งคืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อหรือจำเลย การกระทำของผู้ร้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า รถยนต์บรรทุกของกลางที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบในคดีนี้นั้น นางสาวพิมพา บัวสมุย ทำสัญญาเช่าซื้อจากผู้ร้องเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2538 ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน รวม 45 งวด เริ่มตั้งแต่งวดแรกในเดือนธันวาคม 2538 ดังนั้น งวดสุดท้ายตามสัญญาเช่าซื้อในอีก 45 เดือนถัดมาคืองวดเดือนสิงหาคม 2542 รถยนต์บรรทุกของกลางใช้ขนส่งมะพร้าว โดยมีจำเลยเป็นลูกจ้างขับรถให้แก่นางสาวพิมพาผู้เช่าซื้อ ปรากฏว่ารถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวถูกยึดไว้จากการที่จำเลยกระทำผิดในคดีนี้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2544 อันเป็นเวลาหลังจากสัญญาเช่าซื้อครบกำหนดแล้วถึง 2 ปีเศษโดยผู้เช่าซื้อยังคงค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ 350,000 บาท จากราคาค่าเช่าซื้อในส่วนที่ต้องผ่อนชำระทั้งสิ้น 1,350,000 บาท ซึ่งนางจิรา กลิ่นอ่อน ผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องเบิกความตอบคำถามค้านของผู้คัดค้านว่าตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปี 2544 ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อมาโดยตลอดแต่ไม่ครบถ้วน ปี 2541 ถึงปี 2544 ชำระประมาณ 600,000 บาท จนถึงเดือนสิงหาคม 2544 คงค้างอยู่ 350,000 บาท เมื่อผู้ร้องทราบว่ารถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวถูกริบ ผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญา แต่ยังมิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อครบกำหนดแล้ว ผู้ร้องยังคงให้ผู้เช่าซื้อครอบครองใช้รถที่เช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลาถึง 2 ปีเศษ โดยมิได้บอกเลิกสัญญา แต่ยังรับผ่อนชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ตลอดมาย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องยินยอมให้ผู้เช่าซื้อครอบครองใช้รถเพื่อให้ผู้ร้องยังคงได้รับชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างนั่นเอง ต่อเมื่อผู้ร้องทราบว่ารถที่เช่าซื้อถูกริบในคดีนี้จึงบอกเลิกสัญญาแก่ผู้เช่าซื้อ ซึ่งผู้ร้องสามารถใช้สิทธิทางศาลเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนที่ขาดประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้อได้แต่กลับมาใช้สิทธิในการเรียกร้องทรัพย์ที่ถูกริบในคดีในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์แทน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้เห็นได้ว่าผู้ร้องมุ่งประโยชน์จากการได้รับชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจากผู้เช่าซื้อมากกว่าการถือปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ผู้ให้เช่าซื้อ การร้องขอคืนของกลางของผู้ร้องในคดีนี้จึงมีลักษณะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share