คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6465/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คีตามีนของกลางซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ มาตรา 116 บัญญัติว่า “บรรดาวัตถุออกฤทธิ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่น ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ตาม พ.ร.บ.นี้ ให้ริบเสียทั้งสิ้น” เมื่อคีตามีนถือว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และ ป.อ. มาตรา 32 บัญญัติว่า “ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่” บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวทั้งที่เป็นบทเฉพาะและบททั่วไปมีความสอดคล้องต้องกัน แสดงให้เห็นว่ามีเจตนารมณ์มุ่งประสงค์ให้ศาลสั่งริบวัตถุออกฤทธิ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เสียทั้งสิ้น ซึ่งเป็นบทบังคับเด็ดขาด ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ริบคีตามีนของกลางซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่เมื่อโจทก์ได้กล่าวในฟ้องแล้วว่าเจ้าพนักงานได้ยึดคีตามีนของกลางไว้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจสั่งริบคีตามีนของกลางได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ริบคีตามีนของกลางด้วยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติที่วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13, 62, 68, 102, 106, 116 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 91 ริบยาเสพติดของกลางทั้งหมด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 01-5185221 ของกลาง และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.11963/2545 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, วรรคสาม, 66 วรรคสอง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสอง, วรรคสาม (ที่ถูก มาตรา 72 วรรคสาม) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20, 33, 58 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานมี 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 15 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานจำหน่าย 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน จำคุก 11 ปี และปรับ 400,000 บาท ความผิดฐานมีคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายคีตามีนเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูกความผิดฐานมีคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายซึ่งเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและความผิดฐานขายคีตามีน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน) ให้ลงโทษความผิดฐานขายคีตามีน จำคุก 18 ปี ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ความผิดฐานมี 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 250,000 บาท ความผิดฐานจำหน่าย 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 5 ปี 6 เดือน และปรับ 200,000 บาท ความผิดฐานขายคีตามีน คงจำคุก 9 ปี ความผิดฐานมีอาวุธปืน คงจำคุก 6 เดือน และบวกโทษจำคุก 6 เดือน ของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.11963/2545 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 21 ปี 24 เดือน และปรับ 450,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบยาเสพติดและโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01-5185221 จำนวน 1 เครื่องของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมี 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 14 ปี และปรับ 500,000 บาท ความผิดฐานจำหน่าย 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน จำคุก 10 ปี และปรับ 400,000 บาท ความผิดฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน รวมจำคุก 24 ปี 8 เดือน และปรับ 900,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี 4 เดือน และปรับ 450,000 บาท รวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานขายคีตามีนอีก 9 ปี เป็นจำคุก 21 ปี 4 เดือน และบวกโทษจำคุก 6 เดือน ของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.11963/2545 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 21 ปี 10 เดือน และปรับ 450,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ความผิดฐานมีอาวุธปืน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะกำหนดโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาขอให้กำหนดโทษในความผิดฐานดังกล่าวเบากว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนด เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยในความผิดฐานนี้นั้น เป็นการมิชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และความผิดฐานจำหน่าย 3, 4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะกำหนดโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษในความผิดฐานดังกล่าวเบากว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนด เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยในความผิดฐานนี้นั้น เป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สมควรลงโทษจำเลยในความผิดฐานมี 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานขายคีตามีนสถานเบากว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาหรือไม่ เห็นว่าความผิดฐานมี 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่าย 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน ภายหลังจากจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน โดยในความผิดฐานมี 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น มาตรา 15 วรรคสาม (2) ที่แก้ไขใหม่ แตกต่างจากกฎหมายเดิมในมาตรา 15 วรรคสอง เงื่อนไขที่เป็นองค์ประกอบความผิดดังกล่าวตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ สำหรับความผิดฐานจำหน่าย 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่ในมาตรา 15 วรรคหนึ่งคงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน บทความผิดสำหรับความผิดทั้งสองฐานจึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยมาตรา มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่และศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้ยังเป็นการมิชอบ สำหรับคดีนี้ 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 11.891 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 6.958 กรัม ซึ่งไม่เกิน 20 กรัม ความผิดทั้งสองฐานต้องด้วยบทกำหนดโทษใน มาตรา 66 วรรคสอง ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ซึ่งกรณีโทษจำคุกเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่ากฎหมายเดิมตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ส่วนโทษปรับตามกฎหมายเดิมตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่ใช้ในขณะกระทำความผิดเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ ดังนั้น จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยไม่ว่าในทางใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 เมื่อพิเคราะห์ถึงจำนวน 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายแล้วโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานั้น ยังหนักเกินไป และสำหรับความผิดทั้งสองฐาน ดังกล่าว มาตรา 100/1 วรรคหนึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ บัญญัติให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอสำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกและปรับ ไม่เป็นคุณแก่จำเลย เช่นกัน เพราะในขณะจำเลยกระทำความผิดแม้มาตรา 66 วรรคหนึ่งจะมีโทษจำคุกและปรับด้วยนั้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะลงแต่โทษจำคุกก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า คดีนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรลงโทษจำคุกจำเลยสถานเดียว โดยไม่ลงโทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลยด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อไม่ลงโทษปรับจำเลยในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวแล้วย่อมไม่จำต้องปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายเดิม และศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ปัญหาเรื่องการใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ความผิดฐานจำหน่าย 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน จะยุติโดยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และศาลฎีกาเห็นว่าความผิดฐานขายคีตามีนโทษที่ศาลอุทธรณ์ลงแก่จำเลยก็หนักเกินไปเช่นเดียวกัน ควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่คดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
นอกจากนี้เกี่ยวกับคีตามีนของกลางซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 116 บัญญัติว่า “บรรดาวัตถุออกฤทธิ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่น ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ริบเสียทั้งสิ้น” เมื่อคีตามีนถือว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 บัญญัติว่า “ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่” บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวทั้งที่เป็นบทเฉพาะและบททั่วไปมีความสอดคล้องต้องกัน แสดงให้เห็นว่ามีเจตนารมณ์มุ่งประสงค์ให้ศาลสั่งริบวัตถุออกฤทธิ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เสียทั้งสิ้น ซึ่งเป็นบทบังคับเด็ดขาด ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ริบคีตามีนของกลางซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่เมื่อโจทก์ได้กล่าวไว้ในฟ้องแล้วว่าเจ้าพนักงานได้ยึดคีตามีนของกลางไว้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจสั่งริบคีตามีนของกลางได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้นที่ศาลล่างทั้งสองไม่ริบคีตามีนของกลางด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เช่นเดียวกัน
อนึ่ง คดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.11963/2545 ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ขอให้บวกโทษจำคุกจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีนี้นั้น คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 ให้จำคุกจำเลย 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ระยะเวลารอการลงโทษคือนับแต่วันที่ 30 กันยายน 2545 ซึ่งเป็นวันพิพากษาเป็นต้นไป มีกำหนด 2 ปี แต่คดีนี้จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2545 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีดังกล่าว การกระทำความผิดของจำเลยคดีนี้จึงมิใช่กระทำภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่ง จะนำโทษในคดีก่อนที่รอการลงโทษมากบวกเข้ากับคดีนี้ไม่ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานมี 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และความผิดฐานจำหน่าย 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ความผิดฐานมี 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี ความผิดฐานจำหน่าย 3, 4 -เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 ปี ความผิดฐานขายคีตามีน จำคุก 15 ปี รวมจำคุก 33 ปี โดยไม่ลงโทษปรับลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 16 ปี 6 เดือน รวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานมีอาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีก 4 เดือน เป็นจำคุก 16 ปี 10 เดือน ให้ยกคำขอให้บวกโทษ ริบคีตามีนของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share