คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503มาตรา 8 รวมอยู่ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ด้วย ตามคำฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกัน เป็นธุระจัดหาผู้เสียหายให้ทำการค้าประเวณีโดยยอมรับการกระทำชำเราเพื่อสินจ้างกับชายอื่นอันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ซึ่งมีโทษหนักกว่าความผิด ตาม พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503มาตรา 8 ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ลงโทษก็ตาม ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานจัดหาผู้กระทำการ ค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยร่วมกันเป็นเจ้าของกิจการผู้ดูแลผู้จัดการ สถานการค้าประเวณี ณ บ้านเลขที่ 25 ตำบลบ้านอิฐอำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง จำเลยทั้งสามเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นได้ร่วมกันรับตัวนางสาวรัศมีหรือมด ภูมิประเสริฐ อายุ 20 ปี นางสาวพิไลวรรณหรืออ้อม ปัญญาคำ อายุ 17 ปี นางสาวเล็กหรือหนุ่ย จันทร์ตาแก้ว อายุ 16 ปี ซึ่งมีผู้ล่อลวงมาไว้ในสถานการค้าประเวณีของจำเลยเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเพื่อการอนาจารแล้วจำเลยทั้งสามเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา นางสาวรัศมีหรือมด นางสาวพิไลวรรณหรืออ้อม นางสาวเล็กหรือหนุ่ย ที่รับไว้นั้นเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยการร่วมกันขู่เข็ญ บังคับ นางสาวรัศมีหรือมด นางสาวพิไลวรรณหรืออ้อม นางสาวเล็กหรือหนุ่ยให้ทำการค้าประเวณี โดยการยอมรับการกระทำชำเราเพื่อสินจ้างกับชายอื่นซึ่งนางสาวรัศมีหรือมด นางสาวพิไลวรรณหรืออ้อมนางสาวเล็กหรือหนุ่ยจำต้องยอมตามที่ถูกบังคับนั้น และจำเลยที่ 1เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยการขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายนางสาวปราณีหรือปุ๊กสุขถนอม อายุ 20 ปี ให้กระทำการค้าประเวณีโดยการยอมรับการกระทำชำเราเพื่อสินจ้างกับชายอื่น และนางสาวปราณีหรือปุ๊กจำต้องยอมตามที่ถูกบังคับ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283, 83, 91
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 82, 91 จำคุกจำเลยทั้งสามกระทงละ 1 เดือนรวมสองกระทงจำคุกคนละ 2 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ 2 และที่ 3อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยโดยโจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้จัดหาผู้เสียหายกระทำการค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 แต่โจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 8 มาในคำขอท้ายฟ้อง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3ตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 ได้หรือไม่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283, 83, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8, 9รวม 2 กระทง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 เพราะโจทก์มิได้อ้างบทบัญญัติ มาตรา 8 มาในคำขอท้ายฟ้อง ความผิดฐานนี้จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(6) ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 รวมอยู่ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ด้วย ตามคำฟ้องโจทก์ข้อ ข. ข้อ ค.และข้อ ง. ก็ได้บรรยายว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาผู้เสียหายให้ทำการค้าประเวณีโดยยอมรับการกระทำชำเราเพื่อสินจ้างกับชายอื่นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283ซึ่งมีโทษหนักกว่าความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ. 2530 มาตรา 8 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ. 2503 มาตรา 8 ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยทั้งสามฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 อีกกระทงหนึ่งจำคุกคนละ 1 เดือน รวม 2 กระทง จำคุกคนละ 2 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share