แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยเป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย แต่แจ้งต่อผู้เสียหายให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการว่าจำเลย คือ อ. ซึ่งมีที่อยู่ทะเบียนบ้านกลาง ขอย้ายที่อยู่ไปยังทะเบียนบ้านเลขที่ 1/2 หมู่ 1 ตำบลเชี่ยวเหลียง อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง จากนั้นจำเลยยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าเป็น อ. พร้อมยื่นสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าว จนผู้เสียหายหลงเชื่อออกบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลย เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียว คือ เพื่อให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมจึงไม่ชอบ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 4, 5, 50 พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 4, 5, 6, 14 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 137, 267
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 (เดิม), 267 (เดิม) พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 50 วรรคสอง พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 วรรคท้าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำ ใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 50 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอให้มีบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน และฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 วรรคท้าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 2 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานแจ้งข้อความเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 (เดิม) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าใจว่าจำเลยเป็นคนไทยสามารถทำบัตรประจำตัวประชาชนได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยอยากมีบัตรประจำตัวประชาชน จึงตกลงให้นายอาบังดำเนินการดังกล่าวให้จำเลยทำนองว่า จำเลยมิได้เจตนากระทำความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า เป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นใหม่และขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ที่แก้ไขใหม่ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า การที่จำเลยเป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย แต่แจ้งต่อผู้เสียหายให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการว่าจำเลยคือนายอาทิตย์ ซึ่งมีที่อยู่ทะเบียนบ้านกลาง ขอย้ายที่อยู่ไปยังทะเบียนบ้านเลขที่ 1/2 หมู่ที่ 1 ตำบลเชี่ยวเหลียง อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง อันเป็นทะเบียนบ้านอื่นโดยมิชอบ จากนั้นจำเลยยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าเป็นนายอาทิตย์ พร้อมยื่นสำเนาทะเบียนบ้านของบ้านเลขที่ดังกล่าวซึ่งปรากฏชื่อจำเลยอยู่ในทะเบียนบ้านต่อผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่จำเลยในชื่อนายอาทิตย์ อันเป็นการสร้างพยานหลักฐานเท็จทางทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชาชน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและสังคมโดยรวม ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยอ้างว่ามีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง มีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูภริยาและบุตร หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็ยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การที่จำเลยแจ้งต่อผู้เสียหายให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการว่าจำเลย คือ นายอาทิตย์ ซึ่งมีที่อยู่ทะเบียนบ้านกลาง ขอย้ายที่อยู่ไปยังทะเบียนบ้านเลขที่ 1/2 หมู่ 1 ตำบลเชี่ยวเหลียง อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง จากนั้นจำเลยยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าเป็นนายอาทิตย์พร้อมยื่นสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าว จนผู้เสียหายหลงเชื่อออกบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลย เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียว คือ เพื่อให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมจึงไม่ชอบ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 (เดิม) พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 50 วรรคสอง พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 วรรคท้าย การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 วรรคท้าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8