คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2445/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำเนาเอกสารซึ่งพนักงานสอบสวนลงลายมือชื่อรับรองว่าเป็นเอกสารที่ถ่ายมาจากตันฉบับจริง และไม่ปรากฏว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวไม่ตรงกับต้นฉบับ ทั้งจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร ศาลจึงรับฟังสำเนาเอกสารเหล่านี้ได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 238 จำเลยหลอกลวงพวกผู้เสียหายว่าบริษัท บ. สามารถจัดส่งคนไปทำงานที่ต่างประเทศได้ จนพวกผู้เสียหายหลงเชื่อและสมัครไปทำงานกับจำเลย โดยบริษัท บ. และจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานการกระทำของจำเลยเป็นการจัดหางานตามความหมายของพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 4 แล้ว เมื่อจำเลยกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น ทั้งตามคำฟ้องไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหาย จึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดในฐานนี้อีกกระทงหนึ่ง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2527 ถึงวันที่10 กรกฎาคม 2528 ติดต่อกัน จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือ จำเลยทั้งสองกับพวกจัดหางานโดยรับสมัครคนงานไปทำงานยังต่างประเทศ แล้วเรียกและรับเงินค่าบริการโดยมิได้รับอนุญาตและจำเลยทั้งสองกับพวกโดยเจตนาทุจริตได้หลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยประกาศแก่ประชาชนว่าสามารถจัดส่งผู้สมัครงานไปทำงานยังต่างประเทศได้โดยจะได้รับค่าจ้างสูงและสวัสดิการทำงานดี แต่ผู้สมัครต้องเสียค่าบริการเป็นค่านายหน้าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คนละ 35,000 บาทความจริงแล้วจำเลยทั้งสองไม่สามารถส่งคนงานดังกล่าวไปทำงานยังต่างประเทศตามที่ตกลงกันไว้ได้ ด้วยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวทำให้ประชาชนมีนายคม แสนสุภา กับพวก ผู้เสียหายรวม 20 คน เชื่อว่าเป็นความจริง ได้พากันสมัครไปทำงานยังต่างประเทศกับจำเลยทั้งสองกับพวก และจำเลยทั้งสองกับพวกได้เรียกและรับเงินจากนายคมกับพวกผู้เสียหายแต่ละคนรวมเป็นเงิน 694,000 บาทขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511มาตรา 7, 27 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 343 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหายทุกคนรวม 694,000 บาทด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณา แล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 ให้จำคุกคนละ 1 เดือน และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 343ให้จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี 1 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหายตามบัญชีรายชื่อท้ายฟ้องรวมเป็นเงิน694,000 บาท ด้วย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปีให้ยกฟ้องความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าพยานเอกสารของโจทก์ทั้งสัญญากู้เงิน สัญญาจำนองที่ดิน แคชเชียร์เช็คและใบเสร็จรับเงินค่าดอกเบี้ย เป็นสำเนาภาพถ่าย ซึ่งเจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสกลนคร และเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอนาแกมิได้รับรองความถูกต้อง การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานเอกสารของโจทก์ดังกล่าวจะเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สำเนาสัญญาจำนองที่ดินมีลายมือชื่อเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอลงไว้เป็นการรับรองว่าถ่ายมาจากต้นฉบับจริง ส่วนใบเสร็จรับเงินเป็นต้นฉบับ มิใช่สำเนาจึงไม่จำเป็นต้องมีผู้รับรอง สำหรับเอกสารฉบับอื่น ๆ นั้นแม้จะเป็นสำเนาภาพถ่ายแต่ทุกฉบับปรากฏว่าร้อยตำรวจเอกสุรัตน์ ไตลังคะ พนักงานสอบสวนได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้แล้วว่าเป็นเอกสารที่ถ่ายมาจากต้นฉบับจริงชั้นพิจารณาไม่ปรากฏว่า สำเนาเอกสารดังกล่าวไม่ตรงกับต้นฉบับทั้งจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร เมื่อเป็นสำเนาเอกสารที่เจ้าพนักงานรับรอง กรณีจึงเป็นการเพียงพอที่ศาลจะรับฟังสำเนาเอกสารเหล่านี้ได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 238 แล้ว
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยทั้งสองกับพวกหลอกลวงพวกผู้เสียหายและผู้ ที่จะสมัครไปทำงานว่า บริษัทบางกอกอินเตอร์คอนติเนนตัลเซอร์วิส จำกัดสามารถจัดส่งคนไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ได้ จนพวกผู้เสียหายและผู้ ที่จะสมัครไปทำงานหลงเชื่อและสมัครไปทำงานกับจำเลยที่ 1โดยบริษัทดังกล่าวและจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองย่อมเป็นการประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนงานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้างอันเป็นการจัดหางานตามความหมายของพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511มาตรา 4 แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองได้กระทำการดังกล่าวโดยรู้ สำนึกในการกระทำและขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิดในฐานนี้อีกกระทงหนึ่งทั้งตามคำฟ้องคดีนี้ โจทก์ก็ได้บรรยายแยกการกระทำทั้งสองเป็นสองตอน และไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาที่จะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายอันจะถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องไม่เป็นความผิดในฐานนี้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 วรรคแรกให้จำคุกคนละ 1 เดือน อีกกระทงหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share