คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1635/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด โจทก์ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้กรรมสิทธิ์สิ้นสุดลงโดยการไม่ใช้ แม้โจทก์จะมิได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทนานเท่าใด ตราบใดที่ยังไม่มีผู้อื่นมาแย่งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทไปจากโจทก์ โจทก์ก็หาเสียกรรมสิทธิ์ไปไม่

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นให้เรียกผู้ร้องว่าโจทก์ และเรียกผู้คัดค้านว่าจำเลย
โจทก์ยื่นคำร้องขอว่า ที่พิพาทเนื้อที่ ๘ ไร่ ๑๖ ตารางวา มี่ชื่อนางสาวเม้ยเจียมหรือเจียมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อ ๓๐ ปีเศษ โจทก์ได้ซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากนางสาวเม้ยเจียมในราคา๓,๐๐๐ บาท นางสาวเม้ยเจียมได้มอบโฉนดที่ดินให้โจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียนซื้อขาย โอนกรรมสิทธิ์ต่อเจ้าพนักงาน นางสาวเม้ยเจียมได้ถึงแก่กรรมไปก่อน โจทก์ได้เข้าครอบครองทำนานับแต่ซื้อมา โดยสงบเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครอง
จำเลยคัดค้านว่า จำเลยเป็นพี่สาวของโจทก์ ที่พิพาทเป็นมรดกของบิดา จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาโดยตลอด โจทก์เคยเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทในฐานะเป็นตัวแทนพี่ ๆน้อง ๆ แต่ในระยะ ๑๒ – ๑๕ ปีมานี้ โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่พิพาทไม่ใช่มรดกของนายเทียน ชะเอม บิดาโจทก์ จำเลย แต่โจทก์ได้ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยความสงบและเปิดเผยตลอดมาเกินสิบปี พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ยกคำร้องคัดค้าน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางสาวเม้ยเจียมเมื่อประมาณ ๓๐ ปีมาแล้ว โดยนางสาวเม้ยเจียมมอบโฉนดให้โจทก์ยึดถือ แต่มิได้จดทะเบียนโอนโฉนดให้แก่โจทก์ โจทก์ได้เข้าครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ได้รับโฉนด และได้ให้คนเช่าทำนาในที่พิพาทติดต่อกันมาหลายคน คนสุดท้ายคือนายสอิ้ง ซึ่งถูกคนร้ายยิงตาย หลังจากนั้นโจทก์ทิ้งร้างมิได้เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทหลายปี จนถึงปี ๒๕๒๗ ได้ให้นายโอดและนายอรรถเช่าทำนาจนถึงวันฟ้อง มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า หลังจากนายสอิ้งถูกยิงตาย โจทก์ปล่อยทิ้งร้างที่พิพาท มิได้เข้าทำประโยชน์อะไร ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมาขัดขวางมิให้โจทก์ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงถือว่าโจทก์มีเจตนาสละการครอบครอง สิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทที่โจทก์ได้มาย่อมสิ้นสุดไปทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๗๗ และมาตรา ๑๓๘๔ นั้น เห็นว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด โจทก์ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ แล้ว ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้กรรมสิทธิ์สิ้นสุดลงโดยการไม่ใช้ แม้โจทก์จะมิได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทนานเท่าใด ตราบใดที่ยังไม่มีผู้อื่นมาแย่งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทไปจากโจทก์ โจทก์ก็หาเสียกรรมสิทธิ์ไปไม่ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๗ ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๔ ที่จำเลยอ้างมาในฎีกานั้น เป็นเรื่องมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยฎีกา ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share