แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เกี่ยวกับการกระทำผิดในคดีอาญาเล่นการพนันสลากกินรวบโจทก์บรรยายฟ้องว่าตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2496 ตลอดจนถึงวันที่30 กันยายน 2496 เวลากลางวันและกลางคืนแม้จะกล่าวเป็นเวลานานถึง 9 เดือนก็ตาม จำเลยก็พอเข้าใจข้อกล่าวหาได้ดีแล้ว นอกจากนั้นโจทก์ยังได้ยืนยันกล่าวว่าจำเลยได้ขายสลากประจำวันที่ 30 กันยายน 2496 อีกด้วย ดังนี้ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
และในฟ้องของโจทก์ก็แสดงว่าจำเลยทุกคนเป็นตัวการกระทำผิดในคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงโจทก์สืบได้สม แม้โจทก์มิได้อ้าง กฎหมายอาญา มาตรา 63 ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งหมดฐานเป็นตัวการได้ ไม่เป็นการพิจารณาเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าระหว่างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 ตลอดจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2496 เวลากลางวันและกลางคืนจำเลยที่ 2-7 ได้บังอาจจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบ ฯลฯ นายแดงจำเลยที่ 1 เป็นผู้เข้าเล่นด้วย โดยซื้อสลากจากจำเลยที่ 2 ถึง 7 ทั้งนี้โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. 2478 มาตรา 12 พระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2485มาตรา 3, 4
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ถึง 7 ปฏิเสธ
ในระหว่างพิจารณานายแดงจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลแยกตัดสินศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องนายแดงเป็นอีกสำนวนหนึ่ง เมื่อแยกฟ้องแล้วศาลสั่งจำหน่ายคดีนายแดงออกจากสำนวนนี้
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้สมคบกันจัดขายสลากกินรวบโดยมิได้รับอนุญาตจริง พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 มีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมให้จำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาท
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับนายหวาง นายมาลาและนายผา จำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 นอกนั้นคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 7 ฎีกาเฉพาะจำเลย ศาลสั่งรับในปัญหาข้อกฎหมายข้อ 2
ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 4 ได้มีส่วนจัดให้มีการเล่นการพนันตามฟ้องโจทก์จริง ส่วนจำเลยที่ 5 ที่ 6 เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอชี้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 7 ยกขึ้นฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะกล่าวเวลายาวนานถึง 9 เดือนนั้นเห็นว่าโจทก์ได้กล่าวถึงเวลาพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วทั้งยังได้ยืนยันกล่าวว่าจำเลยได้ขายสลากประจำวันที่ 30 กันยายน 2496 อีกด้วย ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
ส่วนข้อที่อ้างว่าโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายอาญา มาตรา 63 ศาลควรลงโทษสูงต่ำลดหลั่นกันตามพยานหลักฐานในสำนวนไม่ควรลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 7 ทุกคนฐานเป็นตัวการดังที่ศาลล่างลงโทษมาเพราะเป็นการเกินคำขอของโจทก์นั้น เห็นว่าฟ้องโจทก์แสดงว่าจำเลยทุกคนเป็นตัวการกระทำผิดคดีนี้ แม้โจทก์มิได้อ้างกฎหมายอาญา มาตรา 63 ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการได้ไม่เป็นการเกินคำขอของโจทก์ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาข้อ (3) นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะตัวนายหวางจำเลยที่ 4เป็นให้วางบทกำหนดโทษนายหวางจำเลยที่ 4 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 7 นอกจากนี้คงบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์