คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6232/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 รู้จักกับโจทก์ตั้งแต่เด็กและทราบว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 สมรสกันแล้วมีทรัพย์สินเป็นที่ดินพิพาท โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 จึงทราบดีว่าที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 การที่จำเลยทั้งสองทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ แม้จำเลยที่ 2 เสียค่าตอบแทน แต่ก็เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง ซึ่งต้องเพิกถอนนิติกรรมที่ผูกพันสินสมรสทั้งหมด มิใช่เฉพาะส่วนของคู่สมรสที่ไม่ยินยอมเท่านั้น
แม้โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นสินสมรสทั้งหมดโดยโจทก์ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ แต่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองแล้ว ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองเฉพาะในส่วนของโจทก์ อันเป็นการมิได้พิพากษาให้เป็นไปตามข้อหาในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 จึงเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีเสียให้ถูกต้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9182 ตำบลหินปัก อำเภอบ้านหมี่ (สนามแจง) จังหวัดลพบุรี กับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบต่อให้โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9182 ตำบลหินปัก อำเภอบ้านหมี่ (สนามแจง) จังหวัดลพบุรี ที่จำเลยทั้งสองทำเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2547 ในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หนึ่งในสี่ และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริต และศาลต้องพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมขายที่พิพาททั้งหมด มิใช่เพิกถอนเฉพาะในส่วนของโจทก์นั้น ในข้อนี้โจทก์นำสืบว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายตามสำเนาข้อมูลทะเบียนครอบครัว เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางโกศลมารดาของโจทก์ ต่อมานางโกศลขายให้แก่นายชำนาญวิทย์พี่เขยของโจทก์ และนายชาญวิทย์ขายต่อให้แก่โจทก์ในราคา 200,000 บาท แต่โจทก์มีเงินไม่พอจึงไปยืมเงินจากนางสมฤทัยน้าของจำเลยที่ 1 อีก 80,000 บาท ไปซื้อ โดยให้จำเลยที่ 1 และนางสมฤทัยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ต่อมาโจทก์กู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 200,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 และนางสมฤทัยนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกัน โจทก์ผ่อนชำระหนี้แก่ธนาคารตลอดมาตามใบเสร็จรับเงิน ต่อมาโจทก์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดลพบุรี จำเลยที่ 1 ไปพบโจทก์และนำเอกสารไปให้โจทก์ลงลายมือชื่อโดยหลอกโจทก์ว่าเป็นเอกสารขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แล้วนำเอกสารดังกล่าวไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพื่อนกับโจทก์ตั้งแต่เด็กทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เป็นภริยาโจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ จำเลยที่ 1 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 และนางสมฤทัยร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทในปี 2539 หลังจากนั้นโจทก์และจำเลยที่ 1 ร่วมกันปลูกบ้านบนที่ดินพิพาท ระหว่างปลูกบ้านโจทก์กู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยนำที่ดินพิพาทไปจำนองเป็นประกัน ต่อมาในปี 2543 ธนาคารทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 แจ้งโจทก์ว่าจะขายที่ดินพิพาท แต่โจทก์ไม่ยอมให้ขาย จำเลยที่ 1 ไม่ฟังและร่วมกับนางสมฤทัยขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ในราคา 450,000 บาท แล้วแบ่งเงินให้นางสมฤทัยครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือนำไปชำระแก่ธนาคาร 200,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนองตามใบเสร็จรับเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 2 รู้จักกับโจทก์มาก่อนเนื่องจากโจทก์มีบ้านอยู่ติดกับบ้านมารดาของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ประกอบกิจการโรงกลึงอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทนำไปปลูกสร้างโรงงานเนื่องจากอยู่ใกล้บ้านมารดาของจำเลยที่ 2 เห็นว่า โจทก์มีโจทก์เบิกความเป็นพยานยืนยันประกอบสำเนาข้อมูลทะเบียนครอบครัวและสำเนาโฉนดที่ดิน โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นฟังได้ว่า โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2532 จำเลยที่ 1 และนางสมฤทัยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2539 ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังนั้น สำหรับจำเลยที่ 1 ย่อมทราบดีว่าที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เบิกความรับว่า รู้จักกับโจทก์ตั้งแต่เด็กเนื่องจากโจทก์มีบ้านอยู่ติดกับบ้านมารดาของจำเลยที่ 2 และทราบว่าภายหลังโจทก์และจำเลยที่ 1 สมรสกันแล้วมีทรัพย์สินเป็นที่ดินพิพาท โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ทราบดีว่าที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 การที่จำเลยทั้งสองทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ แม้จำเลยที่ 2 เสียค่าตอบแทน แต่ก็เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง
อนึ่ง แม้โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองแล้ว ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองเฉพาะในส่วนของโจทก์หนึ่งในสี่ อันเป็นการมิได้พิพากษาให้เป็นไปตามข้อหาในคำฟ้องและพิพากษาเกินไปกว่าในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีเสียให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9182 ตำบลหินปัก อำเภอบ้านหมี่ (สนามแจง) จังหลัดลพบุรี ฉบับลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547 ระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท

Share