คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8487/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทน ก. มาตั้งแต่ปี 2532 จนถึงวันฟ้อง ส่วนโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก ฮ. เมื่อปี 2537 โจทก์จึงไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเลยและจำเลยก็มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367, 1368 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องตามพยานหลักฐานในสำนวน แม้จะเป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 ก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 238, 243 (3) ประกอบมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ ตั้งอยู่บ้านหนองกินเพล ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยซื้อจากผู้มีชื่อ จำเลยเป็นผู้อาศัยสิทธิจากเจ้าของเดิมหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนางโกสุม ภริยาของนายเสรี ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินพิพาทในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 955/2537 ของศาลชั้นต้นซึ่งคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาโดยจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีนั้น เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2545 จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่า “จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน” ถือว่าจำเลยเปลี่ยนเจตนาการครอบครองเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ต่อมาโจทก์แจ้งยกเลิกสิทธิใด ๆ ของจำเลยในที่ดินพิพาท และให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย หากโจทก์นำที่ดินพิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่า โจทก์จะมีรายได้ประมาณเดือนละ 30,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 500 บาท โจทก์ไม่ฎีกาย่อมถือว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 เว้นแต่ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องตามพยานหลักฐานในสำนวน ข้อเท็จจริงตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนนางโกสุมมาตั้งแต่ปี 2532 จนถึงวันฟ้อง ส่วนโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนายโฮมเมื่อปี 2537 โจทก์จึงไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเลยและจำเลยก็มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367, 1368 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องตามพยานหลักฐานในสำนวน ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238, 243 (3) ประกอบมาตรา 247 การที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งเรื่องอื่นว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคหนึ่ง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท

Share