คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6221/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับธนาคารจำเลยมีความหมายแจ้งชัดว่า นอกจากจะเพื่อเป็นประกันเงินที่โจทก์กู้จากจำเลยแล้วยังเป็นประกันหนี้ทุกประเภทที่โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยอีกด้วย ดังนั้น แม้โจทก์จะได้ชำระหนี้ที่โจทก์กู้จากจำเลยสาขาสามพรานครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังมีหนี้ค้างชำระแก่จำเลยที่สาขารังสิต จังหวัดปทุมธานี ซึ่งแม้จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากนิติกรรมที่ทำกับจำเลยต่างสาขากัน แต่ก็เป็นหนี้ที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยเช่นกัน ถือได้ว่าโจทก์ยังมีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อจำเลยตามสัญญาจำนองอยู่ สัญญาจำนองจึงไม่ระงับสิ้นไป จำเลยมีสิทธิที่จะไม่จดทะเบียนไถ่ถอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 64852 ให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแห้แก่โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวและใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยแถลงรับว่า หนี้ของโจทก์ในคดีนี้จำเลยได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ตามสัญญาจำนอง สัญญากู้ยืมเงิน รายการบัญชีและหนังสือบอกกล่าวทวงถาม โจทก์แถลงรับว่าโจทก์ยังมีหนี้ค้างชำระจำเลยที่สาขารังสิต ตามสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนอง หนี้ที่สาขารังสิตอยู่ในระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และโจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 64852 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท ค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ และให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมา 100 บาท ให้แก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงินจากจำเลยที่สาขาสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14852 ไว้แก่จำเลยตามสัญญากู้ยืมเงิน และสัญญาจำนอง และโจทก์ชำระเงินกู้ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14852 ให้แก่โจทก์เนื่องจากโจทก์มีหนี้ค้างชำระแก่จำเลย ที่สาขารังสิต จังหวัดปทุมธานี มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์หรือไม่ ปรากฏตามสัญญาจำนอง ข้อ 1 ระบุว่า ผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้และภาระผูกพันใดๆ ของนางสาวอรวรรณที่มีต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด ผู้รับจำนองทั้งที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นในภายหน้าทุกลักษณะ ทุกประเภทหนี้ เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท และตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนอง ข้อ 2 ระบุว่า หนี้สินและภาระผูกพันใด ๆ ที่จำนองเป็นประกัน ได้แก่ หนี้สินและภาระผูกพันทุกประเภท ทุกอย่าง ที่มีต่อผู้รับจำนองแล้วในเวลานี้และที่จะมีต่อไปในภายหน้าเมื่อหนี้สินและภาระผูกพันประเภทใดประเภทหนึ่ง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งระงับสิ้นไป แต่หนี้สินและภาระผูกพันประเภทอื่นยังมีอยู่หรือจะมีต่อไปในภายหน้า สัญญาจำนองไม่ระงับสิ้นไป คงผูกพันเป็นประกันต่อไป ข้อสัญญาดังกล่าวมีความหมายอย่างชัดแจ้งว่า สัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวนอกจากจะเพื่อเป็นประกันเงินที่โจทก์กู้จากจำเลย ตามสัญญากู้ยืมเงินแล้ว ยังเป็นประกันหนี้ทุกประเภทที่โจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยอีกด้วย ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังมีหนี้ค้างชำระแก่จำเลยที่สาขารังสิต จังหวัดปทุมธานี แม้จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากการทำนิติกรรมกับจำเลยต่างสาขากัน แต่เป็นหนี้ที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยเช่นกัน ถือได้ว่า โจทก์ยังมีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อจำเลยตามสัญญาจำนองรายนี้อยู่ แม้โจทก์จะได้ชำระหนี้ที่โจทก์กู้จากจำเลย สาขาสามพราน ครบถ้วนแล้ว สัญญาจำนองไม่ระงับสิ้นไป จำเลยมีสิทธิที่จะไม่จดทะเบียนไถ่ถอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share