แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีฐานทำให้เสียอิสรภาพนั้น แม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว และจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่า ไม่มีการร้องทุกข์ก็ดี หากทางพิจารณาได้ความเพียงผู้เสียหายไปแจ้งต่อเจ้าพนักงาน เฉพาะเรื่องทำร้ายยังฟังไม่ได้ว่า ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ในความผิดส่วนตัว อ้ยการไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้บังอาจจับกุม ฝ. และผ. โดยใช้อำนาจทำร้ายด้วยกำลังกายข่มขืนใจให้จำเลยควบคุมและยอมกระทำตาม โดยจำเลยไม่มีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แล้วจำเลยบังคับเรียกและรับเงิน ๑,๒๐๐ บาท จากฝ. และศ. เพื่อจำเลยจะปล่อยตัวไป ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีแล้ว จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อหาฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์อัยการไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนฐานทุจริตต่อหน้าที่พยานโจทก์ไม่พอลงโทษจำเลย พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ผู้เสียหายทั้ง ๒ คนได้ไปแจ้งความต่ออำเภอ คนหนึ่งว่า ตำรวจซ้อม อีกคนหนึ่งว่าตำรวจทำร้าย เป็นการแจ้งเฉพาะความผิดฐานทำร้ายร่างกายฐานเดียว และเพียงเท่านั้นยังไม่พอฟังได้ร้องทุกข์ตาม ป.ม.วิ.อาญา ม.๑๒๑,๑๒๓ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า คดีเฉพาะความผิดส่วนตัวนี้ได้สอบสวนแล้ว ทั้งได้กล่าวไว้ในฟ้องและจำเลยก็ไม่ได้ว่าไม่มีการร้องทุกข์
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามทางพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์ว่า ผู้เสียหายแจ้งต่อเจ้าพนักงานเฉพาะในเรื่องถูกทำร้ายเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่า ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัวตามระเบียบแล้วด้วย โจกท์จึงไม่มีอำนจฟ้องในความผิดฐานนี้
พิพากษายืน