คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในขณะที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์นั้น จำเลยได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยจึงไม่อาจโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ อันเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ให้จำเลยต้องใช้ราคาที่ดิน หากจำเลยไม่อาจโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะระบุว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่ง จำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีทันทีก็ไม่ได้หมายความว่าหากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินทั้งสิบแปลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ จำเลยจะต้องชำระราคาที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยผิดสัญญาอย่างใด โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นคดีอื่นต่างหาก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2544
วันที่ 17 มกราคม 2545 โจทก์ยื่นคำแถลงขอนัดพร้อมอ้างว่า จำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 169 ตำบลเขาหัวควาย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎฺร์ธานี เนื่องจากจำเลยได้ขายให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว ต่อมาวันที่ 24 มกราคม 2545 จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดหรือถอนการบังคับคดี อ้างว่าคดีนี้หนี้ตามหมายบังคับคดีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องรับผิดจำนวน 3,000,000 บาท ซึ่งจำเลยได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2544 แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมงดหรือถอนการบังคับคดี โดยอ้างว่ายังไม่มีคำสั่งศาลถึงวันนัดพร้อมโจทก์ แถลงเพิ่มเติมว่าจำเลยยังไม่ไถ่ถอนจำนองที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.6 และ 2.7 คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เล่มที่ 2 และที่ 3 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จำเลยได้ขอรวมและเปลี่ยนเป็น น.ส. 3ก เลขที่ 9120
จำเลยแถลงขอให้ถอนการบังคับคดีที่ดินทั้งแปดแปลงที่โจทก์นำยึดไว้เพื่อชำระหนี้จำนอง 3,000,000 บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเนื่องจากจำเลยได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดที่ดินทั้งแปดแปลงเพื่อให้โจทก์นำเงินที่ขายได้ไปชำระหนี้จำนองในที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.6 และ 2.7 แต่โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้นำเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินทั้งแปดแปลงมาชำระแทนราคาที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวกลางวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้ศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดที่ดินทั้งแปดแปลงนำเงินมาชำระราคาที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2544 โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วนั้น ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 กำหนดให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 169 คำบลเขาหัวควาย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาและในข้อ 6 กำหนดว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่งจำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้น จำเลยได้โอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยจึงไม่อาจโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ อันเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้กล่าวถึงให้จำเลยต้องใช้ราคาที่ดิน หากจำเลยไม่อาจโอนที่ดินให้โจทก์ได้ แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อ 6 จะระบุว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่ง จำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ไม่ได้หมายความว่าหากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินทั้งสิบแปลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ด้วย ให้แก่โจทก์ไม่ได้จำเลยต้องชำระราคาที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดที่ดินทั้งแปดแปลงมาชำระเป็นราคาที่ดิน ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ได้ หากจำเลยผิดสัญญาอย่างใด โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอากับจำเลยอีกต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องเรื่องผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 มายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

Share