แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยใช้อาวุธมีดจี้ที่เอวด้านหลังของผู้เสียหาย เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสองแล้ว หาจำต้องมีการประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายแต่อย่างใดไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 92, 339, 340 ตรี, 371 ริบอาวุธมีดของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 371 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ฐานชิงทรัพย์ จำคุก 9 ปี ฐานพาอาวุธมีดปรับ 90 บาท รวมจำคุก 9 ปี และปรับ 90 บาท เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามมาตรา 92 เป็นจำคุก 12 ปี และปรับ 120 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 ปี และปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29 ริบอาวุธมีดของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี จำคุก 15 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 20 ปี ไม่เพิ่มโทษฐานพาอาวุธ รวมความผิดสองกระทงเป็นจำคุก 20 ปี และปรับ 90 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี และปรับ 45 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ในเหตุฉกรรจ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง หรือไม่ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพและโจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายเดินอยู่ จำเลยขับรถจักรยานยนต์มาจอดถามทางไปวัดบางสะแกแล้วจำเลยลงจากรถจักรยานยนต์เดินตามหลังผู้เสียหาย ผู้เสียหายเดินหนีจะเข้าบ้าน จำเลยวิ่งไล่ตามใช้มือจับหัวไหล่ทั้งสองข้างและใช้อาวุธมีดจี้ที่เอวด้านหลังของผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยดึงสร้อยคอของผู้เสียหาย และวิ่งกลับไปที่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป ผู้เสียหายร้องเรียกให้บุตรช่วย นายอาทิตย์ ก้านทอง บุตรของผู้เสียหายกับพวกและเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจำเลยไปทันกันที่คอสะพานหก รถจักรยานยนต์ของจำเลยตกลงไปข้างทาง จำเลยวิ่งหลบหนีและถูกจับกุมได้พร้อมของกลาง เห็นว่า จำเลยได้ใช้มีดเป็นอาวุธในการกระทำความผิด หลังจากได้ทรัพย์ของผู้เสียหายแล้ว จำเลยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการหลบหนีเพื่อให้พ้นการจับกุม จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ใช้อาวุธมีดประทุษร้ายร่างกาย ผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยใช้อาวุธมีดจี้ที่เอวด้านหลังของผู้เสียหาย เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสองแล้ว หาจำต้องมีการประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน