แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การร้องขอพิศูจน์สัญชาติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2480 มาตรา 28 ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลเกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติเป็นไทยโดยกำเหนิดนั้น แม้ผู้ร้องจะได้ร้องทางเจ้าพนักงานตลอดจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งเสร็จไปแล้วให้ยกคำร้อง ของผู้ร้องเสียก็ดีผู้ร้องก็ยังมีสิทธิมาร้องขอพิศูจน์ทางศาลได้อีก
ย่อยาว
ผู้ร้องได้เข้ามาถึงกรุงเทพฯ ทางเรือจากประเทศจีนโดยอ้างว่าเป็นบุคคลมีสัญชาติไทยโดยกำเหนิด คือได้เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บิดามารดาได้ส่งผู้ร้องไปประเทศจีนเพื่อการศึกษา เจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองสอบสวนแล้วสั่งยกคำร้องขอผู้ร้องที่ขอให้แสดงว่า ผู้ร้องมีสัญชาติเป็นไทยนั้นเสีย ผู้ร้องได้ร้องต่ออธิบดีกรมตำรวจ ๆ สั่งยืนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ๆ สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองสอบสวนแล้วคงสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสียอีก ผู้ร้องจึงมาร้องต่อศาลแพ่งในคดีนี้ ขอพิศูจน์สัญชาติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ๒๔๘๐ มาตรา ๒๘ ว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลเกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติเป็นไทยโดยกำเหนิด
ศาลแพ่งส่งสำเนาให้พนักงานอัยการ ๆ คัดค้านว่าผู้ร้องหมดสิทธิที่จะมาร้องต่อศาล
ศาลแพ่งเห็นว่าเมื่อผู้ร้องได้เลือกขอพิศูจน์ต่อเจ้าพนักงานแล้ว จะมาขอพิศูจน์ทางศาลอีกไม่ได้จึงให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวน และมีคำสั่งใหม่ตามรูปความ
พนักงานอัยการผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาที่ว่าเมื่อผู้ร้องได้ร้องทางพนักงานตลอดจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งเสร็จไปแล้วจะมาร้องพิศูจน์ทางศาลอีกได้หรือไม่นั้น เห็นว่าเมื่อไม่มีบทบัญญัติห้ามไว้โดยชัดแจ้งแล้วผู้ร้องก็ย่อมมีสิทธิจะมาร้องทางศาลอีกได้ เพราะปัญหาที่จะชี้ขาดเรื่องสัญชาติของบุคคลว่าเป็นไทยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวแก่สิทธิของบุคคลอย่างสำคัญมาก ซึ่งควรจะได้รับการพิจารณาและชี้ขาดจากศาล ส่วนข้อที่เกรงว่าคำสั่งของทั้งสองทางอาจขัดกันได้นั้น ก็เห็นว่าคำสั่งของศาลย่อมต้องเป็นคำบังคับเด็ดขาดศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมาชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน