คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฝ่ายผู้เสียหายพิมพ์คำให้การและแผนที่เกิดเหตุแจกจ่ายพยานโจทก์เพื่อให้พยานเบิกความตามนั้น แต่เมื่อพยานดังกล่าวมาเบิกความต่อศาล พยานต่างยืนยันว่าได้ให้การตามรู้ตามเห็นโดยสัตย์จริงทั้งนั้น พยานไม่ได้ยึดถือเอาข้อความที่เขาพิมพ์แจกมา ให้การต่อศาล ดังนี้ คำพยานเหล่านี้ถ้าเบิกความประกอบด้วยเหตุผลก็ย่อมฟังได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3, 4 ฐานทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 138 ตอน 2 จำคุกคนละ 5 ปี และสำหรับจำเลยที่ 3 ผิดตามมาตรา 270 อีกกระทงหนึ่งจำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 5 ไม่ผิดให้ปล่อยตัวไป

จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1, 2 และ 4 เสียด้วยนอกนั้นยืน

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 4

จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้เสียหายได้เสี้ยมสอนจูงใจพยานโจทก์ให้เบิกความปรักปรำจำเลย ศาลจะรับฟังพยานเหล่านั้นมาลงโทษจำเลยไม่ได้ เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้นายชื่นพี่ชายนายชุมผู้เสียหายจะได้พิมพ์คำให้การพร้อมทั้งแผนที่แจกจ่ายพยาน เช่น นายสุนทร นายเยื้อนพยานโจทก์ ก็ดี แต่เมื่อพยานดังกล่าวมาเบิกความต่อศาล พยานต่างยืนยันว่าได้ให้การตามรู้ตามเห็นโดยสัตย์จริงทั้งนั้น พยานไม่ได้ยึดถือเอาข้อความที่นายชื่นพิมพ์แจกมาให้การต่อศาลเมื่อเป็นดังนี้คำพยานเหล่านี้หากเบิกความประกอบด้วยเหตุผลก็ย่อมฟังได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 อนึ่งในคดีนี้ศาลล่างทั้งสองก็ฟังข้อเท็จจริงโดยพยานเอกสารประกอบด้วย จำเลยก็เบิกความรับเข้ามา และมีพิรุธในการแก้ตัวชั้นสอบสวน จึงเห็นว่า ศาลล่างใช้ดุลพินิจ วินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว

ส่วนฎีกาของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 4 นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายืน

Share