แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทรัพย์มรดกตกทอดเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทตั้งแต่เจ้ามรดกตายผู้จัดการมรดกเอาไปโอนให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่ทายาททายาทติดตามเอาคืนได้กรณีเช่นนี้ไม่ใช่เพิกถอนการฉ้อฉลไม่เกี่ยวกับการจัดการมรดก และไม่มีอายุความเรียกคืนจนกว่าจะหมดสิทธิตาม มาตรา 1382,1383
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรหม่อมเจ้ารัตโนภาศกับหม่อมสนิทกาญจนะวิชัย หม่อมสนิทถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2486 หม่อมเจ้ารัตโนภาศ ได้สมรสกับจำเลย เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2486 หม่อมสนิทได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้โจทก์ทั้งสองกับหม่อมเจ้ารัตโนภาศ โดยระบุตั้งให้หม่อมเจ้ารัตโนภาศเป็นผู้จัดการมรดก แต่การจัดการมรดกดำเนินไปโดยไม่สุจริต โดยได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 5181 ซึ่งหม่อมสนิทได้รับมรดกจากคุณหญิงหงษ์มารดา และผู้จัดการมรดกของคุณหญิงหงษ์ได้โอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้หม่อมเจ้ารัตโนภาศลงชื่อเป็นผู้รับโอนไว้ในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดกของหม่อมสนิท ให้แก่จำเลยประเภทให้โดยเสน่หา เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามพินัยกรรมต้องเสียเปรียบ และที่ดินโฉนดที่ 1733 เดิมหม่อมสนิทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ต่อมาหลังจากสมรสและมีบุตร 2 คน คือโจทก์หม่อมสนิทได้จดทะเบียนโอนให้โจทก์ทั้งสองกับหม่อมเจ้ารัตโนภาศลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับหม่อมสนิท รวมเป็น 4 คนด้วยกัน ครั้นเมื่อหม่อมสนิทถึงแก่กรรม ส่วนของหม่อมสนิทเป็นมรดกตกแก่โจทก์ทั้งสองและหม่อมเจ้ารัตโนภาศตามพินัยกรรม ต่อมาวันที่ 3 มกราคม2506 หม่อมเจ้ารัตโนภาศขอรับมรดกของหม่อมสนิทเป็นของตนโดยอ้างว่าไม่มีพินัยกรรม ส่วนของหม่อมเจ้ารัตโนภาศจึงมี 2 ใน 4 ส่วนความจริงส่วนของหม่อมสนิทนี้เป็นสินเดิมของหม่อมสนิทที่ตกได้แก่โจทก์และเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2507 หม่อมเจ้ารัตโนภาศได้จดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์ส่วนที่ปรากฏชื่อหม่อมเจ้ารัตโนภาศนั้นให้จำเลยโดยไม่ชอบและไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดที่ 5181 และ 1733 ระหว่างหม่อมเจ้ารัตโนภาศผู้โอน กับจำเลยผู้รับโอนในส่วนที่เป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสองและหม่อมเจ้ารัตโนภาศเพื่อนำมาแบ่งตามพินัยกรรมหรือขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดดังกล่าวระหว่างหม่อมเจ้ารัตโนภาศผู้โอน กับจำเลยผู้รับโอน เฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของหม่อมสนิทที่ตกทอดแก่โจทก์ทั้งสองตามพินัยกรรม ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง และสั่งเจ้าพนักงานที่ดินแก้รายการจดทะเบียนการโอน
จำเลยให้การว่า จำเลยรับโอนที่ดินโดยสุจริตเพราะที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของหม่อมเจ้ารัตโนภาศเพียงผู้เดียวตามสัญญาแบ่งทรัพย์มรดกฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2505 ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ลงนามในสัญญานี้ด้วย สำหรับที่ดินโฉนดที่ 1733 จำเลยรับโอนมาเพื่อประโยชน์ในการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากที่ดินเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทายาททุกฝ่ายจำเลยพร้อมที่จะโอนเฉพาะส่วนที่เคยเป็นของหม่อมสนิทคืนให้โจทก์ตามส่วนที่ระบุไว้ในสัญญาแบ่งทรัพย์มรดก ส่วนที่ดินโฉนดที่ 5181 ตกเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของหม่อมเจ้ารัตโนภาศตามสัญญาแบ่งทรัพย์มรดกหม่อมเจ้ารัตโนภาศมีสิทธิโอนให้จำเลยหรือบุคคลใดก็ได้ การแบ่งทรัพย์มรดกเสร็จสิ้นตามสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1733 ที่จำเลยถือกรรมสิทธิ์กลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสองตามส่วนที่โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ กับให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 5181 เฉพาะ 2 ใน 9 ส่วนเป็นของโจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วน คำขอของโจทก์ให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินแก้รายการจดทะเบียน เป็นวิธีปฏิบัติในชั้นบังคับคดีไม่จำต้องสั่งไว้ในคำพิพากษา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะที่ดินแปลงพิพาทโฉนดที่ 5181 ว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนให้ระหว่างหม่อมเจ้ารัตโนภาศผู้โอนกับหม่อมอรุณผู้รับโอน เฉพาะส่วนที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองได้หรือไม่
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรหม่อมเจ้ารัตโนภาศกับหม่อมสนิท หม่อมสนิทถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2486 ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่หม่อมเจ้ารัตโนภาศ และโจทก์ทั้งสอง โดยระบุให้หม่อมเจ้ารัตโนภาศเป็นผู้จัดการมรดก ต่อมา พ.ศ. 2490 หม่อมเจ้ารัตโนภาศสมรสกับหม่อมอรุณจำเลย ที่ดินแปลงพิพาทโฉนดที่ 5181 จำนวน 1 ใน 3 เป็นมรดกของหม่อมสนิทตกแก่หม่อมเจ้ารัตโนภาศและโจทก์ทั้งสองตามพินัยกรรมหม่อมเจ้ารัตโนภาศลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้ในฐานะผู้จัดการมรดก ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม2506 หม่อมเจ้ารัตโนภาศได้จดทะเบียนยกที่ดินแปลงพิพาทให้จำเลย
จำเลยฎีกาว่า หนังสือมอบทรัพย์ให้บุตร (เอกสารหมาย ล.1) เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์มรดก ที่ดินแปลงพิพาทเป็นทรัพย์สินส่วนที่เหลือจากแบ่ง ถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของหม่อมเจ้ารัตโนภาศตามข้อสัญญา หม่อมเจ้ารัตโนภาศมีสิทธิโอนยกให้จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าหนังสือฉบับนี้ไม่เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์มรดก เป็นแต่หนังสือแสดงเจตนาของหม่อมเจ้ารัตโนภาศว่าจะแบ่งทรัพย์ของตนให้แก่บุตรเท่านั้น ต้องถือว่าทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของหม่อมสนิทยังไม่ได้แบ่ง และไม่ทำให้ที่ดินแปลงพิพาทนี้ตกเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของหม่อมเจ้ารัตโนภาศ ฉะนั้นในการที่หม่อมเจ้ารัตโนภาศเอาที่ดินแปลงพิพาทในส่วนที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนยกให้จำเลยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ จึงไม่มีอำนาจที่จะทำได้ โจทก์ชอบที่จะฟ้องเรียกคืน
จำเลยฎีกาเกี่ยวด้วยเรื่องอายุความว่า เมื่อเจ้ามรดกตาย ทรัพย์สินของผู้ตายตกเป็นกองมรดก โจทก์ทั้งสองยังไม่มีกรรมสิทธิ์ จึงไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนและการฟ้องร้องเพิกถอนนิติกรรม ต้องนำมาตรา 237 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้บังคับ ซึ่งเมื่อโจทก์ไม่นำคดีมาฟ้องภายในกำหนด1 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 บัญญัติว่า “เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท” จะเห็นได้ว่ามรดกของผู้ตายย่อมตกเป็นของทายาทในเมื่อเจ้ามรดกตาย ฉะนั้นทายาทย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ตั้งแต่เจ้ามรดกตายเหตุนี้เมื่อหม่อมเจ้ารัตโนภาศเอาที่ดินแปลงพิพาทส่วนที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนยกให้จำเลยโดยไม่มีอำนาจ กรณีเช่นว่านี้โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้เสมอ ไม่มีอายุความฟ้องร้อง เว้นแต่กรณีจะต้องด้วยมาตรา 1382, 1383 โจทก์จึงจะหมดสิทธิติดตามเอาคืน และฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องใช้สิทธิติดตามเอากรรมสิทธิ์ที่ดินของตนคืนมิใช่เป็นการฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 และมิใช่คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก
พิพากษายืน