แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ผู้ตายถือมีดใช้ทำครัวบุกรุกเข้าไปในห้องจำเลยลักษณะที่จะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย นับได้ว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดพอสมควรแก่เหตุ เพื่อป้องกันตนเองได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพในการทำลายร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัดแม้จะปรากฏว่าผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยก็ตาม ก็นับว่าเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา69.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายจำเนียร สันโดด จำนวน5 นัด โดยเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้นายจำเนียร สันโดด ถึงแก่ความตายเจ้าพนักงานยึดหัวกระสุนปืน 2 หัว มีดปังตอทำครัวที่นายจำเนียร สันโดด ผู้ตายใช้เป็นอาวุธ 1 เล่ม ได้ในที่เกิดเหตุเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และริบของกลาง
จำเลยให้การว่า นายจำเนียร สันโดด ถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตายเพราะเกิดจากอุบัติเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 6 ปี จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานเป็นการสำนึกผิดและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปีของกลางให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “กระสุนปืนที่ถูกผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้นเกิดจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิง หาใช่เกิดจากจำเลยกับผู้ตายกอดปล้ำกันแล้วปืนลั่นถูกผู้ตายไม่ ข้อที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยยิงผู้ตาย เพราะเป็นการป้องกันตัวหรือไม่ นางสุริยาเบิกความว่า จำเลยชกต่อยกับผู้ตาย บุตรสาวของพยานเข้ามาฉุดแขนผู้ตายออกไป จำเลยเรียกนายพายัพให้มาดื่มสุรากันต่อ นายพายัพจึงออกมานั่งที่ม้ายาวซึ่งนั่งดื่มสุรากันแต่เดิม ผู้ตายเดินเข้าไปหาจำเลยและยกมือไหว้จำเลย จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะผู้ตายจนศีรษะแตกผู้ตายเดินขึ้นไปชั้นบนไปที่ห้อง หยิบมีดซึ่งใช้ผ่าพืนลงมาถึงหน้าห้องจำเลยและใช้มีดขว้างใส่จำเลยซึ่งขณะนั้นนั่งอยู่หน้าห้องแต่ไม่ถูกจำเลย จำเลยใช้ปืนยิงสวนมา 1 นัด ถูกผู้ตายที่หัวไหล่ยิงอีก 1 นัด ถูกที่หน้าอก ผู้ตายล้มลง จำเลยถอยหลังไปเล็กน้อยและยิงอีก 1 นัด นายพายัพเบิกความว่า ผู้ตายเมาสุรา พูดซ้ำซากให้พยานต่อยหน้าผู้ตาย และหยิบขวดเป๊ปซี่ยกขึ้นเงื้อจะตีศีรษะพยานจำเลยจับมือไว้และแย่งขวดมาได้ จำเลยอุ้มผู้ตายว่าจะเอาไปส่งบ้านผู้ตายดิ้นรนไม่ยอมไป จำเลยจึงให้เด็กไปเรียกนางสุริยาภริยาผู้ตายมา นางสุริยาได้ลากผู้ตายออกไป พยานกับจำเลย นั่งดื่มสุรากันต่อต่อมาขณะที่จำเลยกำลังเก็บขวดและแก้วเข้าไปไว้ในห้อง ผู้ตายเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปในห้องจำเลย ต่อมาได้ยินเสียงปลุกปล้ำกันพยานลุกขึ้นมองดูทางหน้าต่างเห็นผู้ตายกับจำเลยกอดปล้ำแย่งปืนกันและมีเสียงปืนดังขึ้น พยานเข้าไปดูในห้องพบผู้ตายนอนจมกองโลหิตอยู่ และนางพรพรรณเบิกความว่า ขณะที่จำเลยผู้ตายและนายพายัพกำลังดื่มสุราอยู่นอกห้องนั้น พยานอยู่ในห้องได้ยินผู้ตายร้องเอะอะโวยวายมีปากเสียงกับนายพายัพ ได้ยินเสียงจำเลยห้าม ผู้ตายไม่ยอมหยุดจำเลยจึงเรียกหลานชายของจำเลยให้ไปตามภริยาผู้ตายมาเอาผู้ตายกลับไปบ้าน เมื่อภริยาผู้ตายเอาผู้ตายกลับไปประมาณ 10-20 นาทีแล้วผู้ตายก็กลับมาอีก ขณะนั้นจำเลยกับพยานอยู่ในห้อง ผู้ตายผลักประตูเข้ามา ผู้ตายถืออะไรไม่ทราบแนบอยู่ข้างตัว จำเลยผลักพยานให้หลบไป ผู้ตายกอดปล้ำกับจำเลย ต่อจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นคำเบิกความของพยานปากนี้ตรงกันกับคำเบิกความของนายพายัพ แต่คำเบิกความของพยานทั้งสองขัดกับคำเบิกความของนางสุริยา โดยตามคำเบิกความของนางสุริยาจับใจความได้ว่า เหตุเกิดนอกห้องแต่ตามคำเบิกความของนายพายัพและนางพรพรรณยืนยันว่าเหตุเกิดในห้องเห็นว่า นายพายัพไม่เกี่ยวข้องกับคู่ความฝ่ายใด ถือได้ว่าเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความของพยานจึงมีน้ำหนัก และตามคำเบิกความของพันตำรวจโทสวงว่า สาเหตุแห่งการตายเกิดจากการที่ผู้ตายถือมีดปังตอเข้าไปในบ้านของจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงตายมีดดังกล่าวพบในที่เกิดเหตุ นอกจากมีดแล้วยังพบปลอกกระสุนปืนในที่เกิดเหตุกับมีกองโลหิตบนเสื่อน้ำมัน ซึ่งปูอยู่ในห้องจำเลยด้วย ศาลฎีกาเชื่อว่าเหตุเกิดในห้องของจำเลย และเชื่อว่าผู้ตายถือมีดเข้าไปหาจำเลยจริงกับได้ความจากคำเบิกความของนายพายัพและนางพรพรรณว่า ขณะที่ผู้ตายถูกพาตัวออกไปก่อนเกิดเหตุนั้น ผู้ตายพูดว่าเดี๋ยวจะเอาปืนมายิงเห็นว่า การที่ผู้ตายถือมีดบุกรุกเข้าไปในห้องจำเลยในลักษณะที่จะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย และได้ความว่าผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย นับว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลยซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดพอสมควรแก่เหตุเพื่อป้องกันตนเองได้ ข้อที่จะต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายก็คือว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันหรือไม่ เห็นว่า ถึงแม้ผู้ตายจะมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยก็ตาม แต่ผู้ตายก็มีมีดซึ่งได้ความแน่ชัดว่าเป็นเพียงมีดใช้ทำครัวเท่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพในการทำลายร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัด นับว่าเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน…”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 6 ปี จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี อาวุธปืนและหัวกระสุนปืนของกลางให้ริบส่วนมีดของกลางให้คืนเจ้าของ