แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยกับพวกได้ทรัพย์ของผู้เสียหายแล้ว จำเลยวิ่งไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านของ ร. ส่วนพวกของจำเลยวิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายอีกคนหนึ่งจอดรออยู่ โดยไม่ปรากฏว่าก่อนทำการปล้นทรัพย์จำเลยมายังที่เกิดเหตุด้วยรถจักรยานยนต์แต่ประการใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 340 ตรี คงมีความผิดตามมาตรา 340 วรรคสอง เท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 14, 15 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 20,920 บาท แก่เจ้าทรัพย์ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี ให้ลงโทษจำคุก 24 ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้จำคุก 16 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 20,920 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง จำคุก 18 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า มีคนร้าย3 คนร่วมกันปล้นทรัพย์นางปราณี วิชัยดิษฐ์ ผู้เสียหายตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง และได้ทรัพย์สินไปตามฟ้อง ปัญหามีว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ด้วยคนหนึ่งหรือไม่
โจทก์มีนางปราณี วิชัยดิษฐ์ ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งซึ่งขึ้นไปปล้นทรัพย์บนบ้านของผู้เสียหาย ร่วมกับคนร้ายอีกคนหนึ่งซึ่งมีอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหาย เหตุเกิดเวลากลางวัน ยากที่ผู้เสียหายจะจำคนร้ายผิดพลาด นอกจากนี้ยังปรากฏจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบอย่างแน่ชัดว่า หลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีเข้าไปอยู่ในบ้านของนางระเบียบ พัฒนะสดี และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมที่บ้านนางระเบียบนั้นเอง ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลย ก็ให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายข้อเท็จจริงจึงฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อจำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งได้ทรัพย์ของผู้เสียหายแล้ว จำเลยวิ่งไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านของนางระเบียบ ส่วนพวกของจำเลยดังกล่าววิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายอีกคนหนึ่งจอดรออยู่ แล้วพากันขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ก่อนทำการปล้นทรัพย์ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยมายังที่เกิดเหตุโดยรถจักรยานยนต์แต่ประการใดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี เป็นบทลงโทษผู้กระทำผิดให้หนักขึ้น จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด คือหมายความเฉพาะตัวผู้กระทำตามที่ระบุไว้ในมาตรา 340 ตรีเท่านั้น คดีนี้พวกของจำเลย 2 คนกระทำผิดโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ แต่จำเลยไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำผิดแต่ประการใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 340 ตรี คงมีความผิดตามมาตรา 340 วรรคสองศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์จำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน