คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมพนักงานอัยการเป็นโจทก์แทนผู้ร้องฟ้องจำเลยผู้เป็นบิดาของผู้ร้อง ที่สุดจำเลยกับผู้ร้องทำสัญญายอมความกัน ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ถ้าหากจำเลยตาย จะจัดการแบ่งที่ดินพร้อมด้วยเรือนให้
ต่อมาจำเลยตาย ผู้ร้องจึงร้องขอให้แบ่งแยกที่ดินและเรือนตามสัญญายอมซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว
คำร้องในชั้นนี้ไม่ใช่เรื่องฟ้องคดีมรดก จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี.

ย่อยาว

คดีนี้เดิมพนักงานอัยการเป็นโจทก์แทน น.ส.อนงค์และนายประสิทธิ ฟ้องจำเลยผู้เป็นบิดาของ น.ส.อนงค์และนายประสิทธิ เรียกทรัพย์มรดกของนางเลื่อนผู้เป็นภริยาจำเลยและเป็นมารดา น.ส.อนงค์และนายประสิทธิ
ต่อมาพนักงานอัยการร้องขอเป็นโจทก์แทนนายประสงค์และนายประเสริฐบุตรจำเลยและนางเลื่อนร่วมเข้ามาอีก
ที่สุดคู่ความทำสัญญาประณีประนอมยอมความลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๔๘๘ ซึ่งเฉพาะที่เกี่ยวกับปัญหาชั้นนี้คือตามความในสัญญายอมข้อ ๒ ความว่า “ข้อ ๒ จำเลยยอมให้ น.ส.อนงค์ นายประสิทธิ นายประเสริฐ บุตรทั้งสามคนมีสิทธิอาศัยอยู่ในเรือนสีฟ้าซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดที่ ๕๕๗ ตำบลบางไส้ไก่ ธนบุรี จนตลอดชีวิต ถ้าหากจำเลยถึงแก่กรรมลงหรือโอนจะขาย จะจัดการแบ่งที่ดินให้เป็นบริเวณสมควรให้กับนายประสิทธิ นายประเสริฐ น.ส.อนงค์ เป็นกรรมสิทธิ์พร้อมทั้งเรือนสีฟ้าด้วย.
ต่อมาวันที่ ๒๓ ก.ค. ๙๕ น.ส.อนงค์และนายประสิทธิมายื่นคำร้องว่า เมื่อศาลพิพากษาคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว และจำเลยได้ถึงแก่กรรมเสียเมื่อวันที่ ๔ มิ.ย. ๙๔ แล้ว ผู้ร้อง จึงขอให้ศาลสั่งดำเนินการบังคับคดีตามสัญญายอมข้อ ๒ โดยแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ ๕๕๗ ฯลฯ
น.ส.ประจง คัดค้าน มีใจความเฉพาะที่เกี่ยวกับปัญหาชั้นนี้ว่า จำเลยได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินรายพิพาทให้ผู้คัดค้านแล้ว กับว่า ผู้ร้องจะมาขอดำเนินการบังคับคดีโดยลำพังไม่ได้ ทางที่ถูกพนักงานอัยการจะต้องเป็นผู้บังคับคดีจึงจะชอบ
และผู้คัดค้านแถลงต่อศาลว่า สัญญายอมความเรื่องนี้ได้ทำก่อนจำเลยทำพินัยกรรม ผู้ร้องไม่ขอบังคับคดีเสียใน ๑ ปีนับแต่จำเลยตาย คดีขาดอายุความ
ผู้ร้องแถลงว่า ผู้ร้องครอบครองที่รายนี้ตลอดมา
ผู้คัดค้านแถลงว่า ผู้ร้องครอบครองในฐานะอาศัย
ศาลแพ่งวินิ่จฉัยว่า
๑. ในชั้นนี้เป็นชั้นบังคับคดี ไม่ใช่ชั้นพิจารณา ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้ตามสัญญายอมความ จึงขอบังคับคดีเองได้
๒. จำเลยไม่มีอำนาจเอาทรัพย์ที่จะต้องให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาของศาลไปทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใดได้
๓. ผู้ร้องขอบังคับคดีตามสัญญายอมความ ไม่ใช่เป็นเรื่องขอบังคับเอาจากกองมรดกโดยตรง จึงไม่อยู่ในบังคับเรื่องอายุความ ๑ ปี
จึงมีคำสั่งให้บังคับคดีไปตามสัญญายอมความ
น.ส.ประจง ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งศาลแพ่งใน ๑ และ ๒ ถูกต้องแล้ว แต่ใน ๓ นั้นเห็นว่าการขอบังคับเช่นคดีนี้เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนึ่ง จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการมรณะแล้วจึงต้องเข้าอยู่ในหลักอายุความเรียกร้องแก่กองมรดก ผลแห่งสัญญายอมและคำพิพากษาตามยอมมิได้ทำให้ที่ดินและเรือนสีฟ้าตกเป็นของ น.ส.อนงค์กับพวกได้เอง ทันทีที่นายสมถึงแก่กรรมลง ยังเป็นเรื่องที่ต้องจัดการกันต่อไปอีก ฉะนั้นระหว่างนั้นต้องถือว่าเป็นทรัพย์ของนายสมที่ตกทอดไปยังทายาทผู้รับช่วงไปทั้งสิทธิและหน้าที่ แต่ในเรื่องนี้ น.ส.อนงค์กับพวกจะได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงความตายของนายสมมาเกินปีแล้วหรือไม่ และน.ส.ประจง จะเป็นทายาทจริงตามพินัยกรรมและใช้พินัยกรรมที่ถูกต้องหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลแพ่ง ให้ศาลแพ่งพิจารณาเฉพาะในเรื่องที่ยังไม่ได้พิจารณาดังกล่าวแล้วนั้นต่อไป แล้วสั่งใหม่ตามรูปความ
น.ส.อนงค์และนายประสิทธิ ผู้ร้อง ฎีกา
ข้อวินิจฉัยในชั้นนี้คงมีแต่เฉพาะประเด็นในข้อ ๓ ที่ว่า คดีของผู้ร้องอยู่ในบังคับเรื่องอายุความมรดก ๑ ปีหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่าในชั้นนี้เป็นแต่ผู้ร้องขอให้แบ่งแยกที่ดินบริเวณของเรือนสีฟ้าให้แก่ผู้ร้องหรือนัยหนึ่งขอให้บังคับตามสัญญายอมความนั้นแล้วเท่านั้น คดีของผู้ร้องมิใช่เรื่องฟ้องคดีมรดก จึงหาอยู่ในบังคับอายุความเรียกร้องมรดก ๑ ปีไม่
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลแพ่งทุกประการ.

Share