คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยเบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยนอนเสพฝิ่นกับ ส. แต่ในบันทึกการจับกุมและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุต่างระบุตรงกันว่า เป็นเรื่องมีฝิ่นไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต มิได้ระบุข้อกล่าวหาว่าจำเลยเสพฝิ่น นอกจากนี้พยานเบิกความถึงเหตุการณ์ตอนจับกุมจำเลยขัดกับที่ได้บันทึกไว้ในบันทึกการจับกุม และข้อหาฐานเสพฝิ่นพนักงานสอบสวนได้แจ้งเพิ่มเติมภายหลัง ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควร ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีฝิ่นจำนวน 6.3 กรัม ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตและจำเลยกับพวกร่วมกันเสพฝิ่นเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีสูบ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมด้วยฝิ่นจำนวนดังกล่าวซึ่งหมดไปในการตรวจพิสูจน์ กล้องสูบฝิ่น 1 อันกรรไกรเหล็ก 1 อัน เหล็กแหลม 1 อัน อันเป็นอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการเสพฝิ่นเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 17, 58, 69, 91, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 17, 58, 69, 91, 102พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 69 (พ.ศ. 2529) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษข้อ 2(100) ฐานมีและเสพฝิ่น จำคุกกระทงละ 6 เดือนรวมจำคุก 1 ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีสิบตำรวจโทปัญญาและสิบตำรวจโทไพฑูรย์เบิกความยืนยันตรงกันว่าเห็นจำเลยนอนเสพฝิ่นอยู่กับนายสมยศ แต่ในบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 ส่วนที่ระบุถึงข้อที่จำเลยถูกกล่าวหา และในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 ในหัวข้อคดีเรื่องอะไรต่างก็ระบุตรงกันว่าเป็นเรื่องมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (ฝิ่น) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมิได้กล่าวถึงเรื่องการเสพฝิ่นเลย เช่นเดียวกับตอนที่สิบตำรวจโทปัญญาและสิบตำรวจโทไพฑูรย์นำจำเลยไปมอบแก่ร้อยตำรวจเอกยุทธนา ก็ได้ความจากร้อยตำรวจเอกยุทธนาว่าสิบตำรวจโทปัญญาและสิบตำรวจโทไพฑูรย์กล่าวหาจำเลยว่ามีฝิ่นไว้ในครอบครอง ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าเหตุใดสิบตำรวจโทปัญญาและสิบตำรวจโทไพฑูรย์จึงไม่ตั้งข้อหาจำเลยว่าเสพฝิ่นด้วย ตามที่เบิกความว่าเห็นจำเลยนอนเสพฝิ่นอยู่กับนายสมยศ และพยานโจทก์ทั้งสองน่าจะทราบดีว่าการเสพฝิ่นก็เป็นความผิดเช่นเดียวกับการมีฝิ่นไว้ในครอบครอง จึงไม่น่าจะละเว้นหรือหลงลืมกล่าวหาจำเลยในข้อหานี้หากว่าพยานโจทก์ทั้งสองเห็นจำเลยนอนเสพฝิ่นอยู่กับนายสมยศจริง ดังที่เบิกความ นอกจากนั้นตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 ยังมีข้อความบันทึกถึงเหตุการณ์ตอนเข้าจับกุมจำเลยว่าจำเลยได้ต่อสู้ขัดขวางเป็นเหตุให้เจ้าของบ้านชื่อยศวิ่งหลบหนีไป ซึ่งขัดกับคำเบิกความของสิบตำรวจโทปัญญาและสิบตำรวจโทไพฑูรย์โดยสิบตำรวจโทไพฑูรย์เบิกความว่าเมื่อขึ้นไปบนบ้านเกิดเหตุทางด้านหลังบ้านแล้ว นายสมยศได้วิ่งไปที่หน้าต่างโยนถุงพลาสติกสีขาวออกไปแล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่าง สิบตำรวจโทไพฑูรย์กระโดดหน้าต่างไล่ตามโดยหน้าต่างดังกล่าวได้ความจากสิบตำรวจโทปัญญาว่าเป็นหน้าต่างด้านทิศตะวันตก ส่วนจำเลยนั้นสิบตำรวจโทปัญญาเบิกความว่า เมื่อสิบตำรวจโทไพฑูรย์ไล่ตามนายสมยศไป พยานได้ยินเสียงคนสตาร์ตรถจักรยานยนต์จึงมองไปที่หน้าต่างทางทิศตะวันออกเห็นจำเลยสตาร์ตรถจักรยานยนต์แล้วขับหลบหนีไป พยานจึงขับรถจักรยานยนต์ไล่ตามไปทันที่ทางแยกถนนธนวิถีได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและจับกุมจำเลย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการที่นายสมยศหรือยศหลบหนีการจับกุมไปนั้นไม่เกี่ยวกับการจับกุมจำเลยแต่อย่างใด การที่พยานโจทก์ทั้งสองไม่ได้กล่าวหาจำเลยว่าเสพฝิ่นทั้ง ๆ ที่อ้างว่าเห็นจำเลยเสพฝิ่นก็ดี การที่เบิกความถึงเหตุการณ์ตอนจับกุมจำเลยไม่ตรงกับที่ได้บันทึกไว้ในบันทึกการจับกุมจำเลยซึ่งกระทำในวันเกิดเหตุก็ดี ทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยนี้จะเป็นไปดังที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความหรือไม่ แม้จะมีการแจ้งข้อหาจำเลยเพิ่มเติมภายหลังว่า กระทำผิดฐานเสพฝิ่นด้วยก็เป็นการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมตามคำสั่งของพนักงานอัยการโดยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าในข้อหานี้พยานโจทก์ทั้งสองได้ให้การในชั้นสอบสวนไว้ในตอนไหนอย่างไร ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share