คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 701/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลเห็นว่าข้อที่คู่ความประสงค์จะนำสืบไม่เป็นประโยชน์ต่อคดีศาลย่อมมีอำนาจที่จะงดสืบพยานนั้นเสียได้และเมื่อเห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่พอเพียงจะเชื่อฟังเป็นยุติได้แล้วก็พิพากษาคดีนั้นได้ ไม่จำต้องสืบพยานต่อไปตามที่คู่ความขออีก
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเสียใหม่โดยยังไม่ได้วินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนั้นเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้แล้วก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่ จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้ง ถึงวันชี้สองสถานคู่ความรับกันบางประการ คงมีประเด็นที่ต่อสู้ถึงชั้นศาลฎีกาตามฟ้องโจทก์ว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าโกดังของโจทก์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2489 มีกำหนด 1 ปี ครบกำหนดแล้วก็ต่ออายุกันมาครั้งละ 1 ปี ต่อมาโจทก์ได้บอกเลิกการเช่ากับจำเลย แต่จำเลยไม่ส่งมอบโกดังคืน ส่วนจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์จำเลยตกลงจะเช่ากัน 15 ปี จำเลยเซ็นชื่อมอบฉันทะให้พระนนทปัญญาไปทำกรมธรรม์เช่า แต่พระนนทปัญญาทำกรมธรรม์เช่าในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์และในฐานะตัวแทนจำเลยด้วย ผิดไปจากข้อตกลงและผิดจากที่จำเลยได้มอบหมายให้ทำแทน โดยไม่ได้ทำกรมธรรม์เช่าที่ดินครอบถึงเนื้อที่โกดังด้วย การบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ชอบ เพราะบอกมาในนามของพระนนทปัญญาไม่ใช่โจทก์ และตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องซ้ำ ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ทำกรมธรรม์เช่าโกดังรายนี้ตามข้อตกลง โจทก์แก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยจะสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่ได้ และแถลงต่อศาลว่าไม่มีข้อที่จะนำสืบ ส่วนจำเลยจะขอนำสืบตามข้อต่อสู้และฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่จำเป็นต้องสืบพยานต่อไป พิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยมอบคืนโกดัง ฯลฯ

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้สืบพยาน แล้วพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยจะสืบข้อตกลงเดิมเรื่องเช่ากัน 15 ปีมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะจำเลยรับแล้วว่าได้ทำสัญญาเช่าโกดังกับโจทก์หมายเลข 3 ซึ่งมีข้อกำหนดเช่าต่อกัน 1 ปี แม้จะได้มีข้อตกลงดังจำเลยอ้างจริงก็ยังไม่ได้จดทะเบียนกัน แล้วภายหลังจำเลยก็ยอมต่อสัญญาเช่าใหม่เป็นรายปีกับโจทก์ ส่วนการบอกเลิกนั้นตามเอกสารหมายเลข 5 ซึ่งจำเลยรับแล้ว ปรากฏว่าเป็นการบอกเลิกในนามของผู้ให้เช่าว่าถูกต้อง ข้อตัดฟ้องว่าฟ้องซ้ำกับคดีของศาลแขวงพระนครใต้คดีแพ่งดำที่ 219/2494 นั้นเห็นว่า คดีนั้นเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าอีกฉบับหนึ่งที่จดทะเบียนกันแล้ว ส่วนการที่จำเลยคัดค้านว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจงดสืบพยานนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ให้อำนาจศาลเต็มที่ว่าถ้าหากศาลเห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่เพียงพอแล้วก็พิพากษาคดีได้ ไม่ต้องสืบพยานต่อไป อนึ่งที่จำเลยขอว่าหากศาลฎีกาเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานดังความเห็นศาลชั้นต้นก็ขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีมีหลักฐานปรากฏพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น

Share