แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้คัดค้านทั้งห้าตกลงนำที่ดินและตึกแถวมาลงหุ้นตั้งแต่ลูกหนี้ที่ 1 ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งยังไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลนั้น ถือว่าลูกหนี้ที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1079 แม้ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แต่ในระหว่างผู้คัดค้านทั้งห้าและลูกหนี้ที่ 1 ต้องถือว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวตกเป็นของลูกหนี้ที่ 1 ตั้งแต่เวลาที่นำมาลงหุ้นเป็นต้นมาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1030บัญญัติว่าด้วยความเกี่ยวพันระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนกับห้างหุ้นส่วนในเรื่องส่งมอบให้บังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยการซื้อขายนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งมอบตัวทรัพย์ หาได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ไม่
ย่อยาว
ลูกหนี้ที่ 1 ได้จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2518 ทุนจดทะเบียน 17,200,000 บาท มีวัตถุประสงค์ทำการซื้อขายที่ดินและอาคาร มีหุ้นส่วนทั้งหมด 7 คน คือ ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 4 นายสุขใจ ศรีรัตนรังษี นางสุนี ศรีรัตนรังษีเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด และผู้คัดค้านที่ 5 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้คัดค้านที่ 1ที่ 2 และที่ 3 นำเงินสดมาลงหุ้นคนละ 60,000 บาท และนำที่ดินที่ผู้คัดค้านทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวม จำนวน 51 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 10745 ถึง 10749, 10751, 116651 ถึง 116687 และ 116689 ถึง116696 แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ราคา12,320,000 บาทมาลงเป็นหุ้น เมื่อรวมกับเงินสดแล้วคิดเป็นมูลค่าหุ้นคนละ 4,166,666 บาท นายสุขใจนำเงินสดมาลงหุ้น 30,000 บาทและนำตึกแถว 7 คูหา เลขที่ 3/8 ถึง 3/14 แขวงพระโขนงเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ราคา 970,000 บาท มาลงเป็นหุ้นรวมเป็นมูลค่าหุ้น 1,000,000 บาท นางสุนีนำตึกแถว 10 คูหาเลขที่ 3/19 ถึง 3/25 และไม่มีเลขที่ 3 คูหา แขวงพระโขนงเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ราคา 1,300,000 บาท มาลงเป็นหุ้นผู้คัดค้านที่ 4 นำตึกแถว 10 คูหา เลขที่ 3/26 ถึง 3/35เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ราคา 1,300,000 บาท มาลงเป็นหุ้นผู้คัดค้านที่ 5 นำเงินสดมาลงหุ้น 30,000 บาท และนำตึกแถว 8 คูหาเลขที่ 3/36 ถึง 3/43 แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครราคา 1,070,000 บาท มาลงเป็นหุ้น รวมเป็นมูลค่าหุ้น 1,100,000 บาททรัพย์สินทั้งหมดนี้ผู้เป็นหุ้นส่วนได้ยกกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกหนี้ที่ 1 แล้วตั้งแต่ยื่นคำขอจดทะเบียนก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดเพียงแต่ยังไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เพราะนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครยังไม่ได้รับจดทะเบียน ขณะนั้นลูกหนี้ที่ 1 ยังไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลไม่สามารถรับโอนทรัพย์สินได้แต่ผู้เป็นหุ้นส่วนจะได้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินต่อไปหลังจากลูกหนี้ที่ 1 มีสภาพเป็นนิติบุคคลแล้ว ถือได้ว่าผู้เป็นหุ้นส่วนได้ส่งมอบทรัพย์สินที่นำมาลงเป็นหุ้นและกรรมสิทธิ์ได้โอนไปยังลูกหนี้ที่ 1 แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1030 ลูกหนี้ที่ 1 ได้ประกอบกิจการขาดทุน ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนเป็นญาติกันและทราบถึงฐานะของลูกหนี้ที่ 1 เป็นอย่างดีได้ประชุมลงมติให้ลดทุนโดยถอนหุ้นของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ที่เป็นที่ดินรวม 45 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 10749, 10751,116651 ถึง 116666, 116668, 116669, 116671 ถึง 116687 และเลขที่ 116689 ถึง 116696 แขวงพระโขนง เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร เป็นเงิน 10,720,000 บาท คิดเป็นมูลค่าคนละ3,573,333 บาท ถอนหุ้นของผู้คัดค้านที่ 4 ที่เป็นตึกแถวรวม 8 คูหาเลขที่ 3/26 ถึง 3/30, 3/33 ถึง 3/35 เป็นเงิน 1,040,000 บาท และถอนหุ้นของผู้คัดค้านที่ 5 ที่เป็นตึกแถวรวม 3 คูหา เลขที่ 3/36,3/37, 3/38 เป็นเงิน 390,000 บาท ลูกหนี้ที่ 1 ได้ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับผู้เป็นหุ้นส่วนเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2523และผู้คัดค้านทั้งห้าได้รับทรัพย์สินที่ถอนหุ้นจากลูกหนี้ที่ 1 ไปเสร็จสิ้นแล้วต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2523 ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนตกลงกันให้ผู้คัดค้านที่ 5 ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนของลูกหนี้ที่ 1 และให้รับลูกหนี้ที่ 2 เข้าเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนผู้จัดการแทน โดยโอนหุ้นทั้งหมดของผู้คัดค้านที่ 5ให้แก่ลูกหนี้ที่ 2 และไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับผู้เป็นหุ้นส่วนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2523 ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการที่จะต้องถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกับลูกหนี้ที่ 1 การลดทุนของลูกหนี้ที่ 1 ด้วยการถอนหุ้นไปจากสินทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 ของผู้คัดค้านทั้งห้าดังกล่าวได้กระทำก่อนลูกหนี้ที่ 1ถูกฟ้องล้มละลายเพียงหนึ่งปีเศษ จึงเป็นการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินและทำให้ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 ลดน้อยถอยลง เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของลูกหนี้ที่ 1 ได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่ได้ถอนไป เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากลูกหนี้ที่ 1 โดยไม่มีค่าตอบแทน และได้กระทำในช่วงระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ที่ 1 ล้มละลาย ขอให้เพิกถอนการลดทุนของลูกหนี้ที่ 1และเพิกถอนการโอนทรัพย์สินระหว่างลูกหนี้ที่ 1 กับผู้คัดค้านทั้งห้าให้ผู้คัดค้านทั้งห้าส่งมอบทรัพย์สินที่ถอนคืนให้แก่ลูกหนี้ที่ 1หากไม่สามารถคืนได้ก็ให้ชดใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านทั้งห้ายื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านว่า ที่ดิน 45แปลง กับตึกแถวตามคำร้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกหนี้ที่ 1 กรรมสิทธิ์จึงยังไม่โอนไปยังลูกหนี้ที่ 1 และลูกหนี้ที่ 1 ก็ไม่เคยกระทำการใด ๆอันถือว่าเป็นการโอนที่ดินตามที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1030 ไม่ใช่บทยกเว้นที่ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทและผู้ลงหุ้นไม่ต้องดำเนินการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ถ้ามีการเอาทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์มาลงหุ้น ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจะต้องจัดให้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่นำมาลงเป็นของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และมาตรา 1299หุ้นส่วนผู้จัดการของลูกหนี้ที่ 1 มีอำนาจขอจดทะเบียนลดทุนของลูกหนี้ที่ 1 โดยไม่ยอมรับเอาทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้เป็นหุ้นส่วนเคยแสดงเจตนาว่าจะลงหุ้นแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกหนี้ที่ 1 และการจดทะเบียนลดทุนดังกล่าวไม่เป็นการโอนทรัพย์สินหรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1ผู้คัดค้านทั้งห้าจึงไม่ใช่ผู้รับโอนทรัพย์สินตามคำร้อง ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนลดทุนของลูกหนี้ที่ 1ตามมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการลดทุนของลูกหนี้ที่ 1 กับผู้คัดค้านทั้งห้าและเพิกถอนการโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 กับผู้คัดค้านทั้งห้า ให้ผู้คัดค้านทั้งห้าส่งมอบทรัพย์สินที่ถอนคืนไปให้ลูกหนี้ที่ 1 หากไม่สามารถคืนได้ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ใช้ราคาที่ดินและตึกแถวที่ถอนหุ้นคืนไปคนละ 3,573,333 บาท ให้ผู้คัดค้านที่ 4 ใช้ราคาตึกแถวที่ถอนหุ้นคืนไปรวม 1,040,000 บาท และให้ผู้คัดค้านที่ 5 ใช้ราคาตึกแถวที่ถอนหุ้นคืนไปรวม 390,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งห้าที่ว่าผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการลดทุนและการโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 นั้น เห็นว่า การที่ผู้คัดค้านทั้งห้าได้ตกลงนำที่ดิน และตึกแถวมาลงหุ้นตั้งแต่ลูกหนี้ที่ 1 ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วน จำกัด ซึ่งลูกหนี้ที่ 1 ยังไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล นั้น ถือว่าลูกหนี้ที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1079 แล้ว เมื่อผู้คัดค้านทั้งห้านำที่ดินและตึกแถวมาลงหุ้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวจึงตกเป็นของลูกหนี้ที่ 1 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้จะมีหนังสือชี้แจงการนำทรัพย์สินเข้าลงหุ้นซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการมีไปถึงนายทะเบียนในการขอจดทะเบียนลูกหนี้ที่ 1 ตามเอกสารหมาย ร.8 ว่าผู้คัดค้านทั้งห้าจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกหนี้ที่ 1 เมื่อลูกหนี้ที่ 1 เป็นนิติบุคคลแล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้ที่ดินและตึกแถวไม่เป็นของลูกหนี้ที่ 1 ไปได้ ซึ่งในการประชุมผู้เป็นหุ้นส่วนเพื่อลดหุ้นก็ได้ตกลงกันให้ผู้คัดค้านทั้งห้าถอนหุ้นในส่วนที่ลงหุ้นด้วยที่ดินและตึกแถวออกไปได้อันแสดงอยู่ในตัวว่าได้มีการส่งมอบที่ดินและตึกแถวนั้นให้แก่ลูกหนี้ที่ 1 แล้ว ที่ผู้คัดค้านทั้งห้าฎีกาว่าที่ดินและตึกแถวเป็นอสังหาริมทรัพย์เมื่อยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1030 ซึ่งบัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการซื้อขายตามมาตรา 525 และมาตรา 1299 มาใช้บังคับก็ยังถือไม่ได้ว่ามีการส่งมอบและกรรมสิทธิ์โอนไปยังลูกหนี้ที่ 1 แล้วนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1030บัญญัติว่าด้วยความเกี่ยวพันระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนกับห้างหุ้นส่วนในเรื่องส่งมอบ ให้บังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยการซื้อขายนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งมอบตัวทรัพย์หาได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ไม่ ดังนั้นในระหว่างผู้คัดค้านทั้งห้ากับลูกหนี้ที่ 1ต้องถือว่ากรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวได้ตกเป็นของลูกหนี้ที่ 1ตั้งแต่เวลาที่นำมาลงหุ้นแล้ว ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 84/2512 ระหว่างบริษัทเทพพาณิชย์ จำกัด โจทก์ นายทองเอี๋ยวแซ่ลี้ จำเลยและคำพิพากษาฎีกาที่ 4193/2533 ระหว่างเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์นายเจริญ พูลวรลักษณ์ กับพวก จำเลย การลดทุนโดยถอนหุ้นที่ลงหุ้นด้วยที่ดินและตึกแถวบางส่วนออกไปในปี 2523 ในขณะที่ลูกหนี้ที่ 1 กำลังประสบกับภาวะการขาดทุนซึ่งลูกหนี้ที่ 1กับผู้คัดค้านทั้งห้าก็ทราบดี จึงเป็นการที่ลูกหนี้ที่ 1 ได้โอนทรัพย์สินหรือยอมให้โอนทรัพย์สินไปในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ที่ 1 ล้มละลายโดยไม่สุจริต และไม่มีค่าตอบแทนผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนเสียได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 114 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้เพิกถอนการลดทุนและเพิกถอนการโอนโดยให้ผู้คัดค้านทั้งห้าส่งมอบทรัพย์สินคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาพร้อมทั้งดอกเบี้ยนั้นชอบแล้ว สำหรับฎีกาในข้อที่เกี่ยวกับหน้าที่นำสืบและการรับฟังพยานเอกสารนั้น เห็นว่า หน้าที่นำสืบไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยในชั้นนี้เพราะไม่ทำให้ข้อเท็จจริงและผลของคำสั่งและคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ส่วนปัญหาในเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานก็เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมโดยเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีศาลมีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งห้าฟังไม่ขึ้น สำหรับดอกเบี้ยที่ศาลชั้นต้นคิดให้โดยนับตั้งแต่วันยื่นคำร้องนั้นยังไม่ถูกต้อง แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนแล้ว จึงจะถือว่ามีการผิดนัดอันจะคิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันนั้นเป็นต้นไป จึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า หากไม่สามารถคืนได้ ให้ผู้คัดค้านที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ใช้ราคาคนละ 3,573,333 บาท ให้ผู้คัดค้านที่ 4 ใช้ราคา 1,040,000 บาท และให้ผู้คัดค้านที่ 5 ใช้ราคา 390,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์