คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6186/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนาย ท. กับนาง จ. ต่อมานาง จ. ถึงแก่ความตาย นายท. ได้จดทะเบียนสมรสกับนาง ป. หลังจากนั้นนาย ท.มาจดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกโดยมิได้หย่าขาดจากนาง ป. จึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 เมื่อนาย ท. ถึงแก่ความตายแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดจึงเป็นทายาทโดยธรรมของนาย ท. และมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของนาย ท. โจทก์ทั้งเจ็ดจึงอยู่ในฐานะเป็นบุคคลผู้ที่มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การสมรสระหว่างนาย ท. และจำเลยเป็นโมฆะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1497 โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้อง ขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนาย ท. กับจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้อง ขอให้พิพากษาว่า การสมรสระหว่างนายทิ้งกับจำเลยเป็นโมฆะ และให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสดังกล่าวเสีย
จำเลยให้การว่า การสมรสระหว่างนายทิ้งกับจำเลยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์ทั้งเจ็ดมิใช่คู่สมรสของนายทิ้งและมิได้เป็นทายาทของนายประจิม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างนายทิ้ง ดิษฐเต้ยหลวง กับนายอมรศรี ดิษฐเต้ยหลวง (จำเลย) ที่สำนักงานทะเบียน อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ตามทะเบียน ๑๐๗/๓๙๓๘ เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๔ เป็นโมฆะ ให้แจ้งนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนท่าลี่ จังหวัดเลย เพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส เมื่อคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสระหว่างนายทิ้ง ดิษฐเต้ยหลวง กับนางอมรศรี ดิษฐเต้ยหลวง (จำเลย) ถึงที่สุด ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคีดเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างนายทิ้งซึ่งเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายกับจำเลยเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมิใช่คู่สมรสของนายทิ้งและไม่ใช่ทายาทของนางประจิมซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้ง จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสีย และของนายทิ้งก็เพื่อใช้สิทธิรับมรดกทั้งที่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรมและในฐานะทายาทโดยธรรมไม่เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ด และไม่ทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดเสียสิทธิในเรื่องการแบ่งมรดก เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๒ บัญญัติว่าชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ มาตรา ๑๔๙๕ บัญญัติว่าการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา ๑๔๔๙ มาตรา ๑๔๕๐ มาตรา ๑๔๕๒ และมาตรา ๑๔๕๘ เป็นโมฆะ และมาตรา ๑๔๙๗ บัญญัติว่า การสมรสที่เป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนมาตรา ๑๔๕๒ บุคคลผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งจะกล่าวอ้างขึ้น หรือจะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ได้ คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่นายทิ้งจดทะเบียนสมรสกับจำเลยนั้น นายทิ้งมีคู่สมรสหรือนางประจิมอยู่แล้ว การที่นายทิ้งมาจดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกโดยมิได้หย่าขาดจากนางประจิมจึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๒ ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๔๙๕ แม้โจทก์ทั้งเจ็ดจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้งกับนางเจียวแต่ก็เป็นทายาทโดยธรรมของนายทิ้ง เมื่อนายทิ้งถึงแก่ความตายแล้วตามปกติโจทก์ทั้งเจ็ดย่อมจะมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของนายทิ้งโจทก์ทั้งเจ็ดจึงอยุ่ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การสมรสระหว่างนายทิ้งและจำเลยเป็นโมฆะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙๗ โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษามาแล้วนั้น ศาลฎีกาเห้นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share