คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงที่ว่า หลังจากจำเลยทั้งสองถูกจับในความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรคดีนี้แล้วจำเลยทั้งสองยังได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปยึดรถยนต์อีกจำนวน 3 คัน ซึ่งถูกคนร้ายลักเอาไป มิได้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองรับของโจรรถยนต์ทั้งสี่คันในคราวเดียวกัน อันจะถือได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 93, 264, 265, 268, 335, 357, 336 ทวิ ริบของกลาง นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1644/2546 คดีอาญาหมายเลขดำที่ 2022/2545 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5551/2546 ของศาลชั้นต้น และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5551/2546 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก, 357 วรรคแรก, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานรับของโจร จำคุกคนละ 3 ปี ฐานใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม จำคุกคนละ 3 ปี รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งในความผิดฐานรับรองของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี 7 เดือน 15 วัน นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1644/2546 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5551/2546 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5551/2546 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2022/2545 ของศาลชั้นต้นปรากฏว่าศาลมีคำพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้ ริบแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ (ปลอม) หมายเลข บท 7860 จันทบุรี ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์ของผู้เสียหายโดยมีแผ่นป้ายทะเบียน บท 7860 จันทบุรี ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนปลอมติดไว้ที่รถยนต์คันดังกล่าว แต่โจทก์นำสืบได้ข้อเท็จจริงแต่เพียงว่าร้อยตำรวจเอกนำเกียรติกับพวกเห็นจำเลยทั้งสองกับนายพิชอบกำลังจะนำรถยนต์ของผู้เสียหายออกไปจากที่เกิดเหตุและเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกเห็นเจ้าพนักงานตำรวจต่างพากันวิ่งหลบหนีเท่านั้น ก่อนถูกจับและหลังถูกจับข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองได้อ้างใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมหรือผู้อื่นเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจหรือผู้อื่นหลงเชื่อว่าแผ่นป้ายทะเบียนปลอมนั้นเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่า ผู้ใดเป็นคนขับรถยนต์ของผู้เสียหายมาจอดไว้ยังที่เกิดเหตุและไม่ได้นำสืบว่าผู้ใดเป็นคนนำแผ่นป้ายทะเบียนปลอมมาติดไว้ที่รถยนต์คันดังกล่าวพยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อได้วินิจฉัยดังกล่าวแล้วคดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่อีกต่อไป อนึ่ง แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาปัญหาข้อนี้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ปัญหาต่อไปมีว่า สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปหรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถูกโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานรับของโจรรวม 3 คดี ซึ่งเป็นเหตุการณ์รับของโจรในคราวเดียวกันและในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5551/2546 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) เห็นว่า ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่าหลังจากจำเลยทั้งสองถูกจับในความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรคดีนี้แล้ว จำเลยทั้งสองยังได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปยึดรถยนต์อีกจำนวน 3 คัน ซึ่งถูกคนร้ายลักเอาไป ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองรับของโจรรถยนต์ทั้งสี่คันในคราวเดียวกัน อันจะถือได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม คงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานรับของโจร จำคุกคนละ 3 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน 15 วัน นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1644/2546 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5551/2546 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5551/2546 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share