คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 617/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้บาดเจ็บถูกฟันศีรษะ 1 ที และถูกแทงหลัง 1 ที ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 15 วัน แพทย์ก็ให้กลับและให้ไปโรงพยาบาลทุก 3 วันเพราะประสาทยังไม่ปกติไปโรงพยาบาลอีก 3 ครั้ง แล้วขอยามารักษาที่บ้านเพราะต้องเดินไกลสะเทือนสมอง เพียงเท่านี้ไม่ปรากฏอาการใดที่จะถือเป็นทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน ถือว่ายังไม่เป็นอันตรายสาหัส
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้มีผู้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสาม จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฎีกาศาลฎีกาเห็นว่าบาดเจ็บนั้นไม่ถึงสาหัสจึงเป็นผิดเพียงตาม มาตรา 340 วรรคสอง ซึ่งมีโทษเบากว่าแม้จำเลยอื่นจะมิได้ฎีกา ก็เป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลตลอดถึงจำเลยอื่นด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกับพวกใช้มีดเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ราคา 2,220 บาท ของนายเที่ยงโดยทำร้ายนายเที่ยงบาดเจ็บสาหัสขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 กับให้ใช้ทรัพย์

จำเลยที่ 1 ปฏิเสธ จำเลยที่ 2 รับสารภาพตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทำผิดจริงตามฟ้อง นายเที่ยงถูกฟันที่ศีรษะ 1 ที และถูกแทงหลัง 1 ที บาดเจ็บของนายเที่ยงถึงทนทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน เป็นอันตรายสาหัส พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 จำคุกคนละ 15 ปี จำเลยที่ 2 รับสารภาพลดกึ่งตามมาตรา 76คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 7 ปี 6 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิดรายนี้จริง แต่บาดแผลของนายเที่ยงได้ความว่านายเที่ยงต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 15 วัน แพทย์ก็ให้กลับ และให้ไปโรงพยาบาลทุก 3 วัน เพราะประสาทยังไม่ปกตินายเที่ยงไปโรงพยาบาลอีก 3 ครั้ง แล้วขอยามารักษาที่บ้าน เพราะต้องเดินไกลสะเทือนสมอง เพียงเท่านี้ไม่ปรากฏอาการใดที่จะถือเป็นทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน ยังไม่เป็นอันตรายสาหัสดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ ความผิดของจำเลยทั้งสองต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกาก็เป็นเหตุในลักษณะคดีมีผลตลอดถึงจำเลยที่ 2 ด้วย

พิพากษาแก้บทลงโทษจำเลยทั้งสองเป็นให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 ส่วนกำหนดโทษและข้ออื่น ๆ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share