แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ถือว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดยผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน และผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยพลัน ถ้าไม่ส่งมอบก็ให้ถือว่าครอบครองไว้โดยมิชอบและยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าของต้องขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการเอาทรัพย์สินให้เช่าจนกว่าจะส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของแล้ว แม้ข้อตกลงการเลิกสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจะแตกต่างจากบทบัญญัติของกฎหมายก็ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่เป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 151 จึงใช้บังคับได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 31 ซึ่งต้องชำระในวันที่ 1 ธันวาคม 2538 สัญญาเช่าซื้อย่อมเป็นอันระงับไปตามข้อกำหนดในสัญญาตั้งแต่วันดังกล่าว แม้ก่อนฟ้องโจทก์จะมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และมีข้อความกล่าวถึงการถือเอาหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาซ้ำอีก ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างเกินเลยผิดจากความจริงไป ก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งระงับไปแล้วกลับมีผลบังคับอยู่อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 350,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 519,985.42 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 21,962 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือชดใช้ราคาแทน
จำเลยทั้งสองให้การในทำนองเดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 350,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 292,833.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 292,833.33 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 พฤษภาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระค่าเสียหายให้โจทก์ต่อไปอีกเดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทน แต่ต้องไม่เกิน 12 เดือน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2538 จนถึงวันฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้ถือเอาข้อปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อ เรื่อง เลิกสัญญาเป็นสาระสำคัญ สัญญาเช่าซื้อเพิ่งเลิกกันเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2541 โจทก์จึงคงมีสิทธิเพียงคิดดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 31 นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2538 จนถึงวันฟ้องเท่านั้น หามีสิทธิคิดค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แต่ประการใดไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 31 ซึ่งต้องชำระในวันที่ 1 ธันวาคม 2538 แล้ว สัญญาเช่าซื้อย่อมเป็นอันระงับไปตามข้อกำหนดในสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 10 ที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ถือว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดยผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน และผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยพลันถ้าไม่ส่งมอบก็ให้ถือว่าครอบครองไว้โดยมิชอบและยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าของต้องขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการเอาทรัพย์สินให้เช่าจนกว่าจะส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของแล้ว แม้ข้อตกลงการเลิกสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจะแตกต่างจากบทบัญญัติของกฎหมายก็ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้ และเมื่อปรากฏว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อจนเป็นเหตุให้สัญญาเช่าซื้อเลิกกันตามข้อสัญญาดังกล่าวโดยโจทก์ไม่ต้องบอกกล่าวก่อนนั้นแล้วก็ไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์อื่นที่คู่กรณีสละประโยชน์จากเงื่อนไขตามข้อสัญญาดังกล่าวอีก ทั้งจำเลยที่ 1 ก็มิได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์และมิได้ชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์ตลอดมา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อและจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ทั้งสองประการดังกล่าวให้แก่โจทก์เมื่อใดก็ได้ภายในกำหนดอายุความ และก่อนฟ้องโจทก์ย่อมมีสิทธิบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ ซึ่งหากจำเลยทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วอาจทำให้โจทก์ไม่จำต้องฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองต่อไปได้ หนังสือบอกเลิกสัญญาก็มีลักษณะเป็นการบอกกล่าวทวงถามของโจทก์ แม้หากจะมีข้อความกล่าวถึงการถือเอาหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาซ้ำอีกซึ่งเป็นการกล่าวอ้างเกินเลยผิดจากความจริงไป ก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งระงับไปแล้วกลับมีผลบังคับอยู่โดยโจทก์มิได้ถือเอาข้อปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ. 6 ข้อ 10 เรื่องเลิกสัญญาเป็นสาระสำคัญดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างในฎีกานั้นไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2538 จนถึงวันฟ้องนั้นจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.